รีวิว Mad Max Fury Road ถนนโลกันตร์ อาจจะพอมีบางคนบ้างแหละนะ ที่เคยได้ชม Mad Max สามภาคก่อนหน้าที่ผู้กำกับคนเดียวกันเคยทำเอาไว้ แต่ถ้าคุณไม่เคยได้ดูมาก่อน ก็ขอรับรองว่าสามารถดูภาคนี้ได้อย่างเข้าใจ เพราะหนังเป็นเรื่องราวของ Max Rockatansky (Tom Hardy) ในโลกอนาคตที่แห้งแล้งกันดารที่จบในตอน แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าดูภาคนี้แล้วจะยิ่งเพิ่มความอยากในการกลับไปดูภาคก่อนได้อย่างแน่นอน

แมด แม็กซ์ ถนนโลกันตร์

รีวิว Mad Max Fury Road ถนนโลกันตร์ เรื่องย่อ

แม็กซ์ ร็อคกาแทนสกี้ อดีตตำรวจที่ลูกเมียโดนแก๊งอันธพาลสุดป่าเถื่อนฆ่าตาย เลยใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมายในโลกที่ล่มสลายนี้ จนกระทั่งวันนึงเขาก็ถูกลูกสมุนของ อิมมอร์ทัล โจ จับตัวไป เพื่อไปถ่ายเลือดให้กับบรรดา วอร์บอย ลูกน้องของ โจ

เลยทำให้เขาได้มาพบกับ ฟูริโอซา ผู้บัญชาการสุดเท่ที่มีภารกิจพา 5 สาวสวย ที่เป็นทาสของ โจ หลบหนีออกมา แต่งานนี้ก็ไม่ง่าย เมื่อ โจ ก็ส่งบรรดาเหล่าสมุนออกมาตามล่าในทันที จนกลายเป็นเส้นทางไล่ล่าสุดเดือดที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน เลย

สำหรับ Mad Max: Fury Road นั้นจะเหมาะกับคอหนังแอคชั่นกันแบบ 100% เพราะกว่า 95% ของหนังนั้นเต็มไปด้วยฉากบู๊จัดๆ และมีความหลากหลายเต็มที่ ทั้งฉากน้อย ใหญ่ ก็ล้วนแต่สร้างความตื่นเต้นตระการตาได้หมด อีกทั้งจังหวะดนตรีอันแสนเร้าใจ

ที่อัดกันมาแบบไม่ให้คนดูได้พัก ก็น่าจะทำให้คอหนังแอคชั่นรู้สึกฟินกันสุดระดับ Max กันไปเลย หากใครชอบหนังแอคชั่นขับรถไล่ล่าตระกูล Fast an Furious แล้ว บอกเลยว่าหนังชุดนั้นจะชิดซ้ายกันไปเลย เมื่อเจอ Mad Max: Fury Road เพราะมันยกระดับความสนุกไปอีกหลายขั้นเลย  รีวิวหนังActoinบู๊

หมวดหมู่ : Action Adventure
สัญชาติ : American
กำกับโดย : George Miller
ความยาว : 1 ชั่วโมง 46 นาที
นักแสดงนำ : Tom Hardy, Charlize Theron, Nicholas Hoult

รีวิว Mad Max Fury Road ถนนโลกันตร์ มันจนลืมหายใจ

จอร์จ มิลเลอร์ ผู้กำกับต้นฉบับกลับมารื้อฟื้นงานเก่าของตัวเองอีกครั้งในวัย 70 ปี ทิ้งช่วงห่างจากไตรภาคเดิม 30 ปี ไตรภาคแรกปลุกปั้น เมล กิ๊บสัน ให้กลายเป็นดาราแถวหน้าฮอลลีวู้ดได้สำเร็จ จอร์จ มั่นใจกับแฟนเดนตายของ mad max มาก ถึงกับไม่เสียเวลาย้อนอดีตปูพื้นของเก่าเลย มีเพียงแค่เสียงบรรยายสั้นๆ ถึงตัวตนและอดีตของ แมกซ์ ไม่ถึง3นาทีด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงล่ะ อัดฉากแอ็คชั่นกันแน่นๆ ยาว 2 ชั่วโมงเลย

เอกลักษณ์ ความคลาสสิค ไอเดียหลุดโลกเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว เป็นต้นแบบสร้างแนวทางวิสัยทัศน์ ไว้ให้ผู้กำกับรุ่นหลังที่สร้างหนังเกี่ยวกับโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 3 เมื่อโลกกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน หนังที่สร้างหลัง mad max เลยเป็นแนวนี้กันไปหมด และยังมากกว่าแค่วงการหนัง ไปเป็นแรงบันดาลใจให้กับการ์ตูนคลาสสิคอย่าง หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ

อีกด้วย วันนี้จอร์จ มิลเลอร์เจ้าของไอเดียต้นแบบกลับมาอีกครั้ง ได้ทุนสร้างมากกว่าเดิมหลายเท่า อีกทั้งวิทยาการทางด้านภาพต่างช่วยผลักดันจินตนาการของ จอร์จ มิลเลอร์ ต่อยอดไปได้อีกไกล ความดิบ เถื่อน ยังคงอยู่ครบ ที่เพิ่มมากขึ้นไอเดียสร้างสรรค์มากมายที่เนรมิตออกมาเป็นภาพให้ได้เห็น ชุดประหลาดๆ ของบรรดาตัวละคร อาวุธแปลกใหม่

แค่ฉากภายในถ้ำของซินทิเดลเราก็ได้เห็นบรรดาไอเดียหลุดโลกมากโขแล้ว หนำซ้ำในภาคนี้ยังมีหลายๆอาณานิคมมาต่อสู้กัน แต่ละแก๊งก็มีทั้งชุด ทั้งพาหนะที่มีเอกลัษณ์ต่างกันไปอีก ดูแล้วฝ่ายออกแบบนี่ทำงานกันสนุกมือแน่  ดูหนัง,ดูหนังออนไลน์

ยานพาหนะมาในคอนเซ็ปต์เดิมที่เป็นรถเก่า เอาชิ้นส่วนมาประติดประต่อกันให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น คิดยุทธวิธีโจมตีใหม่ๆขึ้นมาทำให้ฉากแอ็คชั่น รถไล่บี้กัน ชนกันยาวๆ

แต่ก็เป็นฉากที่ดูสนุกเอามันส์ได้ไม่เบื่อ และที่น่าชื่นชมคือความแม่นของทีมงานสร้าง เพราะภาคนี้ไม่ใช้ซีจีช่วย ภาพที่เราเห็นรถชนกัน ระเบิดตูมตามนั้นคือภาพที่เกิดขึ้นจริง เทคนิคซีจีถูกใช้เพื่อลบ เครน สลิง อุปกรณ์ประกอบฉากออกจากภาพเท่านั้น

รีวิว Mad Max Fury Road ถนนโลกันตร์ การดำเนินเรื่อง

ผู้กำกับ George Miller บอกว่าในภาคนี้จะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของแม็กซ์ (Tom Hardy) หลังจากสูญเสียครอบครัว (อันเป็นเรื่องของภาคแรก) และเป็นเรื่องก่อนที่เขาจะกลายเป็น The Road Warrior ในตำนาน (ซึ่งก็คือก่อนเหตุการณ์ในภาค 2) ดังนั้นแม็กซ์ในภาคนี้จึงยังไม่ “แมด” ยังไม่ “ดิบนิ่ง” เท่าที่ Mel Gibson เคยแสดงไว้ในภาค 2 และ 3

แต่แม็กซ์คนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก “ผู้สูญเสีย” เป็น “ผู้ไม่มีอะไรจะเสีย” ผมจึงไม่แปลกใจนักหากสไตล์ของแม็กซ์คนใหม่นี้จะยังไม่เด่นจัดๆ หรือไม่แมดคลั่งแบบเต็มร้อย (แต่ก็เดาว่าพี่แกจะแมดต่อไปในอนาคตแน่นอน)

ถ้าให้ว่าตรงๆ แล้ว Tom Hardy เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวครับ เพียงแต่ความเด่นยังไม่เยอะ ส่วนมากความเด่นจะตกไปอยู่กับบทสมทบไม่ว่าจะ Charlize Theron ที่ลงทุนโกนหัวจริงสำหรับบทนี้ (ที่เธอแสดงใน A Million Ways to Die in the West น่ะ เธอสวมวิกนะครับ) แล้วก็เล่นได้เด่นน่าจดจำ เป็นผู้หญิงที่แกร่งจริง ครั้นพอถึงตอนหมดแรงก็ถ่ายทอดความรู้สึกนั้นผ่านจอได้จริงๆ

Nicholas Hoult เมคอัพซะเปลี่ยนลุคไปเลย แต่พี่แกก็เล่นบทนี้ได้เฉียบเหมือนกัน ส่วน Rosie Huntington-Whiteley ก็ดูเหมาะกับบทและขโมยซีนได้ในหลายวาระเหมือนกัน ว่าง่ายๆ คือน่าจดจำกว่าที่คิดน่ะครับ

อีกคนที่ลืมไม่ได้คือ Hugh Keays-Byrne ในบทไอ้โจหัวหน้าแก๊งวายร้าย ซึ่ง Keays-Byrne เคยแสดงเป็น “โทคัตเตอร์” หัวหน้าวายร้ายใน Mad Max ภาคแรกมาแล้วครับ ครั้งนั้นก็โคตรบ้า โคตรโหด และโคตรชั่ว พอมาครั้งนี้ก็บ้าคลั่งได้หนักกว่าเก่า เอาแค่เมคอัพก็อลังแล้วครับ เพียงแต่ถ้าเป็นในแง่ “การแสดงตัวตน” แล้ว บทโจในภาคนี้อาจไม่สามารถถ่ายทอดความบ้าหรือความน่ารังเกียจได้ชัดเท่าสมัยเล่นเป็นโทคัตเตอร์

โลกที่ไม่มีปัจจัยทั้งอาหาร น้ำ หรือแม้กระทั่งแก๊สน้ำมัน

Imperator Furiosa (Charlize Theron) คือสาวแกร่งในภาคนี้ที่เลือกจะกบฎเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เธอได้เจอกับแม็กซ์ หนุ่มแกร่งผู้มีปม เขามีความบ้าแต่เขาก็มีความดีอยู่ในตัว แถมยังมี Nux (Nicholas Hoult) หนุ่มผู้ตกเป็นทาสของอิมมอร์ตัน โจ แต่หลุดรอดออกมาและกลายเป็นตัวละครเด่นอีกตัวในเรื่องนี้

แม้ว่าโดยความเป็นจริง หนังเรื่องนี้ใช้ CG เข้ามาช่วยน้อยกว่าหนังเรื่องอื่นๆ มาก เพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นการถ่ายทำด้วยคนจริง แต่กับงานภาพบางส่วนจำเป็นต้องใช้ CG เข้ามาช่วย ซึ่งก็ทำให้ได้ภาพที่ต้องตะลึงอ้าปากค้าง เพราะมันอลังการมาก และมันเหมาะมากจริงๆ ที่จะรับชมในแบบ IMAX 3D (ถ้าคนไทยจะมีโอกาสได้ดูกันอะนะ)

และแม้ว่า ‘Mad Max Fury Road’ จะดูเป็นหนังที่ใส่เนื้อหาเรื่องราวเข้าไปน้อยมาก หลายคนที่เข้าไปชมอาจมองเรื่องมันดูบางเบา แต่นั่นแหละ ก็เพราะมันจะได้ให้เวลากับความสุดยอดในด้านอื่นเพื่อตอบสนองให้มันเป็นหนังที่สุดยอดมันอย่างที่มันควรจะเป็นอย่างไรเล่า รวมรีวิวหนังทั้งหมด

ดนตรีจัดโดย Tom Holkenborg หรือ Junkie XL นักดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกาชาวดัตช์ที่กำลังมาแรงในวงการภาพยนตร์ เขาได้ทำดนตรีให้ Batman v Superman: Dawn of Justice ด้วยครับ สำหรับในเรื่องนี้ก็ใส่ดนตรีมาเสริมความสะใจและเร้าความตื่นเต้นได้กำลังเหมาะ

และที่ไม่ชมไม่ได้คือผู้กำกับภาพมือออสการ์จาก The English Patient ซึ่งก็คือ John Seale ครับ พี่แกมักถูกเลือกให้มากำกับภาพที่มีทะเลทรายหรือที่โล่งกว้างเป็นฉากหลังเสมอ ไม่ว่าจะ Witness, Rain Man, Cold Mountain และ Prince of Persia: The Sands of Time และกับเรื่องนี้เขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ จับภาพเหวี่ยงกล้องได้เข้ากับความคลั่งของหนังได้อย่างดี

รีวิว Mad Max Fury Road ถนนโลกันตร์ สปอยเนื้อหา

บรรดาเมียๆ ของ Immortan Joe เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ว่าจะสวยเซ็กซี่อย่างเดียว แต่ยังฮึดสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมและเสรีภาพของตนเองอย่างไม่กลัวเจ็บกลัวตาย แถมยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเป็นพรรคเป็นทีม

อย่าง Rosie Huntington-Whiteley นี่เรื่องนี้คือดีงามมาก ประทับใจสุด ตรงกันข้ามกับตอนที่นางเป็นนางเอก Transformers เรื่องนั้นคือง่อยมาก ดีแต่ใส่ส้นสูงกรีดกรายสวยๆ และเอาปากเจ่อๆ เซ็กซี่ๆ งี่เง่าใส่พระเอกทั้งเรื่อง

แล้วหนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญแค่กับสาวๆ สวยๆ เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับคนแก่คนชราในเรื่อง ซึ่งแต่ละซีนของพวกเธอก็สร้างความประทับใจให้กับคนดูได้ไม่น้อยไปกว่าฉากที่คนหนุ่มคนสาวต่อสู้กันเสียอีก

เห็นมั้ยว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่ประเด็นเรื่องทรัพยากรหรือสิ่งแวดล้อม แต่ยังให้ความสำคัญกับพลังหญิงหรือประเด็นทางเพศด้วย

ถ้าพูดถึงแต่ผู้หญิงเป็นพารากราฟๆ โดยไม่พูดถึงฝั่งตัวละครนำฝ่ายชายเลยก็ดูกระไรอยู่ เพราะอย่างน้อย Max ก็เป็นเจ้าของเรื่องหรือ narrator ของเรื่อง แสดงให้เห็นว่า ถ้าทุกเพศต่างผนึกกำลังกัน ใช้ความสามารถเฉพาะที่มีในการช่วยเหลือเกื้อกัน มันย่อมดีกว่าทำอะไรอยู่ฝ่ายเดียว และถ้าไม่มีคนหนุ่มนิสัยดีไว้ใจได้อย่างหนุ่ม Max กับ Nux เข้ามาช่วย สาวๆ ก็คงจะเหนื่อยหนักกว่านี้หลายเท่า หรืออาจจะต้องกลับไปเป็น “สิ่งของ” ของผู้ชายชั่วๆ นั้นอีกก็ได้

จริงๆ ก็ไม่อยากจะนิยาม แต่เอาเท่าที่เราเห็นจริงๆ เราคิดว่า ธรรมชาติของผู้ชายเขาจะเป็นเพศที่ชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี) ในเรื่อง Mad Max : Fury Road เราจะเห็นว่า Max กับ Nux (Tom Hardy และ Nicholas Hoult ตามลำดับ) เป็นตัวละครที่ดูมีเป้าหมายในชีวิตของตัวเองอย่างชัดเจน (จริงๆ จะรวม Immortan Joe ด้วยก็ได้ เพราะก็ดูมีเป้าในการทำพันธุ์กับผู้หญิงที่เขาไม่รักตนอย่างแน่วแน่ดี)

อย่าง Max ก็ดูดำเนินชีวิตเอาตัวรอดในโลกอันโหดร้ายนี้อยู่คนเดียวด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่างของเขา แต่เราชอบเป้าหมายในการพยายามตัดตะกร้อครอบปากของ Max มาก มันไม่ใช่แค่ตลกในความพยายาม แต่ยังทำให้เรานึกถึง Tom Hardy ตอนเล่นเป็น Ben ใน The Dark Knight Rises ด้วย

รีวิว Mad Max Fury Road ถนนโลกันตร์ ความรู้สึกหลังชม

ด้วยความที่ Mad Max: Fury Road เป็นหนังที่ได้ผู้กำกับคนเดิมอย่าง George Miller ที่ปั้นภาคแรกให้โด่งดังมาแล้วเมื่อปี 1979 ที่ตอนนั้นได้ดาราดังในยุคนั้นอย่าง Mel Gibson มารับบทของ Max ซึ่งมาจนถึงภาค Fury Road นี้

ก็เสมือนเป็นการรีบู้ทติดเครื่องกันใหม่แบบยกชุด แต่พลังของหนังที่มียังคงเหลือล้น และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมันส์แบบระดับชิบหายวายวอดได้ยิ่งกว่าเดิมไปอีก ทั้งที่จริงแล้วพล็อตเรื่องของหนังก็มีง่ายแสนง่าย นั่นก็คือทีมตัวร้ายไล่ล่าทีมตัวเอก กันตลอดเส้นทางถนนทะเลทรายเท่านั้นเอง

แต่ด้วยความที่ฉากมันออกแบบมาได้ดี มีความอลังการงานสร้าง ตัวรถแต่ละคันก็มีลูกเล่นที่ชวนตื่นตา ทำให้งานศิลป์และการดีไซน์ต่างๆ ในหนังเรื่องนี้ออกมาดีงามแบบสุด ๆ (ชนิดที่ว่ามีการทำเวอร์ชั่นขาวดำออกมา งานภาพก็ยังสวยไปอีกแบบอย่างน่าทึ่ง)

ทั้งการเสพทั้งงานภาพและเสียงที่ทั้ง Mix ทั้งตัดต่อไปอย่างดี เหมาะกับการรับชมในโรง หรือดูบน Home Theartre ที่กระหึ่ม น่าจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมได้เป็นอย่างมาก เสมือนเป็นการเสพงานศิลป์จากทุกโสตประสาทได้เป็นอย่างดี จนอยากที่จะแคปฉากเหล่านี้เอาไว้อยู่หลายฉาก เพราะมันสามารถเอามาทำเป็น Wallpaper สวยๆ ได้เยอะมากๆ

สรุปว่าหนังมันส์ครับ เล่าได้ชวนติดตามแบบต่อเนื่อง ครึ่งแรกของหนังนี่เล่นเอาเหนื่อยครับ มันล่ากันไม่หยุดไม่พักเลย จะมาผ่อนก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไป แล้วพักไม่นานก็ไปเหนื่อยกันต่ออีก เชื่อแล้วครับว่า Miller เขาจินตนาการภาพแอ็กชันมาก่อน แล้วค่อยเสริมด้วยเรื่องราว

การกลับมาใหม่ของ Mad Max ในครั้งนี้ แม้จะเป็นผู้กำกับรุ่นเก๋าคราวคุณปู่ แต่ทุกสิ่งในเรื่องก็ปรับตามให้ทันยุคสมัยอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นประเด็น Feminist พลังหญิงเข้าไป โดยมี ฟูริโอซา เป็นตัวนำที่อาจจะดูเด่น หรือน่าจดจำมากกว่าตัวเอกอย่าง แม็กซ์ เองเสียอีก รวมถึงบรรดาแก๊ง 5 สาวที่หนีออกมานั้น ต่างก็ใช้สกิลเอาชีวิตรอดกันอย่างเต็มที่ จนคนดูไม่มีโอกาสได้ก่นด่าว่ากล่าวว่าตัวละครไร้ประโยชน์เลย

แถมตัวละครอื่นๆ ของหนังก็ยังถูกเติมมิติเข้าไปให้เป็นสีเทา มากกว่าที่จะยัดเยียดได้ว่าคนนี้เป็นคนดี หรือเป็นคนเลว ก็ทำให้ Mad Max เวอร์ชั่นนี้ เป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก และเต็มไปด้วยพลังงานเหลือล้น จนผู้กำกับหนังแอคชั่นรุ่นหนุ่มหลายๆ คงต้องอายกันไปเลยทีเดียว