รีวิวหนัง Prey ผู้มาเยือน สาวน้อยเผ่าอินเดียน กับ พรีเดเตอร์ผู้มาเยือน เมื่อเอเลียนนักล่าเยือนโลกเจอกับสาวน้อยเผ่าอินเดียนที่ผันตัวจากการเป็นเหยื่อให้กลายเป็นนักล่า

จะว่าไป เรานี่ก็ได้ทำความรู้จักกับเหล่าเอเลี่ยนประเภทนี้มานานมากเหมือนกันนะเนี่ย หนังภาคแรกในปี 1987 ก็ได้มาดูเอาทีหลัง ในสมัยนั้นยังแทบไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามันเป็นตัวอะไร แต่มันก็อยู่กับเราเรื่อยมา มียุคเฟื่องฟูก็มียุคตกต่ำ จนวันหนึ่ง มันก็หวนกลับมาใหม่หลังจะคอลแลบกับใครต่อใครเขาจนเปื่อยยุ่ย ครั้งนี้ ขอเริ่มต้นด้วยอะไรที่สะอาดเอี่ยมอีกครั้งในหนังเรื่อง ‘Prey’

พรีเดเตอร์ย้อนยุค สนุกโหดลุ้น

รีวิวหนัง Prey ผู้มาเยือน เรื่องย่อ

หนังลงสตรีมมิ่ง Disney+ จากค่าย 20th Century Studios ที่อยู่ในเครือ เป็นการกลับมาของพรีเดเตอร์อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ได้ผู้กำกับ Dan Trachtenberg จาก Cloverfield มากำกับ ในเรื่องราวย้อนไปยุคสมัยอินเดียนแดง ที่มีคนขาวบุกรุกเข้ามาแล้วต้องเจอกับนักล่าจากต่างดาวตัวนี้เข้า

หนังเรื่องนี้ กำกับโดย Dan Trachtenberg คนที่กำกับ ’10 Cloverfield Lane’ บางตอนในซีรีส์ ‘The Boys’ และ ‘Black Mirror’ ที่เป็นการย้อนกลับไปเล่าอะไรที่เป็นพรีเดเตอร์แบบเพียวๆ อีกครั้ง แถมยังย้อนกลับไปในยุคที่ชนเผ่าอินเดียนยังใช้ชีวิตกันอยู่เมื่อราว 300 ปีก่อน เป็นอีกครั้งที่บอกว่า เอเลียนเจอโลกมนุษย์มานานแล้ว

บนแผ่นอเมริกาเมื่อราว 300 ปีก่อน แผ่นดินที่ได้ชื่อว่าเป็น Comanche Nation ในเวลานั้น นารู (Amber Midthunder จากหนัง ‘The Ice Road’, ‘The Marksman’ และ ‘Hell or High Water’) หญิงสาวในชนเผ่าอินเดียนผู้มีความต้องการอยากเป็นนักล่า แต่ดูเหมือนว่าทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมชนเผ่าจะไม่มีใครเห็นด้วย เธอเลยต้องหาทางพิสูจน์ ก็พอดีที่วันหนึ่ง เธอมองเห็นปรากฏการณ์บางอย่างบนท้องฟ้า เธอมองว่ามันเป็นสัญญาณ

นารู มีเจ้าหมาน้อยที่เธอฝึกจนแสนรู้อย่างซารีเป็นเพื่อนคู่กาย และเธอก็เป็นผู้เดียวในเผ่าที่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดแปลก มันไม่ใช่สิงโต ไม่ใช่หมี มันตัวใหญ่กว่านั้น และเธอพยายามจะฆ่ามันให้สำเร็จ  รีวิวหนังActoinบู๊

นี่เป็นหนังพรีเดเตอร์ที่ได้คะแนนสูงสุดในช่วงหลังจากภาคแรก ซึ่งก็เหมือนการได้หวนกลับไปเล่าเรื่องการล่าในแบบดิบๆ แบบต้นตำหรับ ต่างจากช่วงหลังที่เน้นโชว์อาวุธใหม่ๆ ของพรีเดเตอร์ ก็ทำให้ผลลัพธ์ของเรื่องออกมาดูดีกว่าจริงๆ

ตัวหนังเล่าเรื่องปูสั้นๆ ถึงทีมนักล่าของอินเดียนแดงมือฉมัง ที่หัวหน้าทีมมีน้องสาวตัวเอกของเรื่องที่ Naru ที่พยายามออกล่าให้คนในเผ่าและพี่ชายยอมรับ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ก่อนที่เธอจะไปเจอกลับพรีเดเตอร์เข้าและตามรอยมันไปคนเดียว ก่อนที่ทีมนักล่าของเผ่าที่มาตามตัวเธอจะพบกับมันไปด้วย

สิ่งนั้น นอกจากมีขนาดที่ใหญ่และแข็งแรงแล้ว มันยังสามารถพรางตัวได้อีกต่างหาก และการมาของ ‘มัน’ จะช่วยพิสูจน์ความเป็นนักล่าของเธอให้ประจักษ์ชัด

รีวิวหนัง Prey ผู้มาเยือน เนื้อเรื่อง

เรื่องราวเกิดขึ้นประมาณปี 1700 ซึ่งเป็นยุคแห่งการต่อสู้ของเผ่าอินเดียนแดงชนเผ่าโคแมนซี ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน ได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตนอกโลกสุดสะพรึงที่แสนจะโหดเหี้ยม ในตอนนั้น นารู หญิงสาวชนเผ่าอินเดียนอยากเป็นนักล่า

แต่ทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนๆ ไม่มีใครเห็นด้วย เธอจึงต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับ เป็นเวลาพอดีกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้มาถึง และนารูได้สังเกตเห็นสัญญาณบนท้องฟ้า มีบางอย่างผิดปกติและเธอเป็นผู้เดียวที่สังเกตเห็น มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เราเคยพบเจอเธอพยายามบอกทุกคน แต่ไม่มีใครเชื่อ ทำให้นารูและสุนัขคู่ใจที่เธอฝึกมาเองออกไปหาความจริง และเธอพยายามจะฆ่ามันให้ได้ เรื่องราวต่อจากนี้อยากให้ทุกคนได้รับชมกันต่อเองนะคะ

หนังยังคงเล่นประเด็น ผู้ล่า และ เหยื่อ มีความเชื่อมโยงกันให้หนังดูสนุกมีความต่อเนื่อง และมันเป็นครั้งแรกที่ มนุษย์และPredator ได้เผชิญหน้ากัน เราจะเข้าใจคำว่าห่วงโซ่อาหารมากขึ้น สิ่งมีชีวิตบางสิ่งต้องถูกล่าเพื่อความอยู่รอด และผู้ล่าก็สามารถเป็นเหยื่อได้เช่นกัน เนื้อเรื่องจะบอกว่าเราจะสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเองได้หรือไม่

จากเป็นเหยื่อแล้วกลายมาเป็นผู้ล่าแทน ซึ่งหนังปูเรื่องมาได้ดี แม้ดูแล้วเหมือนจะเรียบง่าย ดำเนินเรื่องได้ไหลลื่น ไม่น่าเบื่อ แต่เนื้อเรื่องหนักแน่น เผยเลือดนักสู้มีอยู่เต็มเปี่ยมในตัวหญิงสาวมนุษย์คนนึง ทำให้หนังน่าสนใจ

อีกอย่างคือเนื้อเรื่องที่ทีมผู้สร้างไม่เลือกที่จะทำเนื้อหาแบบไปข้างหน้า แต่กลับย้อนกลับไปในสมัยสงครามอินเดียนแดง ก็ทำให้หนังมีความน่าสนใจมากขึ้น หลังจากภาคอื่นๆ สร้างเนื้อเรื่องออกทะเลไปไกลโพ้นแล้วก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการดึงกลับเนื้อเรื่องที่ดีทีเดียว  ดูหนัง,ดูหนังออนไลน์

รีวิวหนัง Prey ผู้มาเยือน เนื้อหาที่สำคัญ

แดน แทคเทินเบิร์ก จาก 10 Cloverfield Lane มารับหน้าที่กำกับและร่วมเขียนบทหนังในเรื่องนี้ให้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคอนเซ็ปต์ของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างยูนีคไม่เบา เพราะเป็นการหยิบเอา 2 ตำนานมาผนวกเข้าด้วยกันที่ค่อนข้างคอนทราสแต่กลับร้อยเรียงเข้าด้วยกันได้ดี โดยในภาพรวมของหนังนั้นเน้นความสยองขวัญมากกว่าล่าเอามันส์ โทนของหนังจึงมีความสะพรึงปะปนกับดราม่ามากกว่า

แน่นอนว่า Prey ถือว่าทำออกมาได้ดีในแง่งานออกแบบองค์ประกอบศิลป์และงานภาพต่าง ๆ ถือว่าดีไซน์ออกมาได้น่าพิสมัยและลงรายละเอียดได้ หลายซีนของหนังสร้างบรรยากาศออกมาได้ชวนขนลุกและยังคงคอนเซ็ปต์ความเหี้ยมโหดดิบเถื่อนของตำนานพรีเดเตอร์เอาไว้ได้ดี แม้ว่ายังค่อนข้างขาดตกบกพร่องในด้านมิติของเรื่องราวและท่องทำนองของบทหนังไปอยู่ก็ตาม

ในความคิดเห็นของผู้เขียนนั้นเชื่อว่า Prey เป็นหนังที่มาพร้อมกับการมอบความสยองขวัญเต็มขั้นแบบจัดเต็ม ด้วยการหยิบเอาวัตถุดิบดั้งเดิมมาปรุงแต่งใหม่ในรสชาติที่จัดจ้านขึ้น แต่หนังน่าจะเป็นที่ถูกใจพวกนักวิจารณ์มากกว่า เพราะองค์ประกอบงานดีไซน์ของหนังที่ทำออกมาได้เยี่ยม แต่หนังอาจจะไม่ได้เป็นที่ถูกใจในฝ่ายของผู้ชมสักเท่าไหร่ เพราะหากว่ากันถึงการร้อยเรียงเรื่องราวนั้น หนังยังถือว่าจุดไฟติดได้ช้าและผู้ชมอาจจะเบือนหน้าหนีไปเสียก่อนจะถึงจุดไฮไลต์สำคัญ

เพราะว่าในแง่การเล่าเรื่องนั้น Prey ถือว่าเป็นหนังที่ปูเรื่องได้ช้าไปสักหน่อย เพราะกว่าจะมีโอกาสเปิดฉากออกลีลาการล่าต่าง ๆ ได้นั้น ก็ปาไปเกือบจะครึ่งทางแล้ว แต่เมื่อหนังเริ่มปะติดปะต่อองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ประกอบร่างออกมาได้ชัดยิ่งขึ้น ก็มาพร้อมกับความบันเทิงเลือดสาดแบบไม่ยั้งเหมือนกัน นับได้ว่าเป็นการตอบโจทย์ผู้ชมได้ดีในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง

รีวิวหนัง Prey ผู้มาเยือน ผู้ล่าจากแดนไกล

ตัวหนังให้เรามองผ่านสายตาของ นารู น้องสาวของว่าที่นักรบหนุ่มของเผ่า แม้เธอจะมีความเฉลียวฉลาดช่างสังเกตแต่ก็ยังถูกดูแคลนในความเป็นเพศหญิงที่พละกำลังในการล่าต่ำกว่าผู้ชาย เธอจึงฝึกฝนและแสวงหาการยอมรับผ่านพิธีล่าสัตว์ดุร้ายอย่างสิงโต และแน่นอนว่าบัดนี้ในป่าไม่ได้มีเพียงแค่สัตว์ร้ายอย่าง งูพิษ หมาป่า สิงโต หรือหมีเท่านั้น

เพราะมีนักฆ่าต่างดาวออกมาเดินหาคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีอยู่ด้วย และในเวลาใกล้เคียงกันพวกคนยุโรปที่อพยพก็เริ่มรุกรานใช้ปืนฆ่าชนเผ่าพื้นเมืองด้วยเช่นกันและต้องชื่นชมด้วยว่า นักแสดงสาวอย่าง แอมเบอร์ มิดธันเดอร์ (Amber Midthunder) ที่มารับบท นารู นั้นมีเสน่ห์ทั้งด้านรูปลักษณ์และการแสดงที่สามารถตรึงสายตาไปกับเธอตลอดเรื่องได้จริง ๆ ไม่ว่าจะตอนสวย ๆ หรือผ่านนาทีชีวิตจนโทรมไปทั้งตัว แม้ตอนดูตัวอย่างยังหวั่น ๆ ว่าเธอไม่ค่อยดึงดูดสายตานักแต่ของจริงเธอฉายออร่าได้แรงไม่เบาทีเดียว

มาถึงตรงนี้มันจึงได้เห็นว่าหนังมีการนำเสนอนัยของประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองอเมริกา รวมถึงการพูดเรื่องความเท่าเทียมทางเพศแบบที่เราไม่รู้สึกยัดเยียดอยู่ด้วย ทำให้หนังมีมิติเชิงลึกให้พูดคุยกันต่อได้

แต่มันก็ไม่ทิ้งหน้าที่ในการสร้างความบันเทิง ต้องบอกว่าผู้สร้างไล่ระดับความตื่นเต้นไปได้อย่างเหมาะสม จากการประจันหน้ากับสัตว์ร้าย จนถึงคู่มือที่เกินเอื้อมแค่เอาชีวิตรอดมาได้ก็บุญ ก่อนที่ทุกอย่างจะบีบบังคับให้ฝั่งตัวเอกจนตรอกต้องสู้กลับเท่านั้น กลายเป็นศึกสุดท้ายที่บีบหัวใจอย่างยิ่ง

รีวิวหนัง Prey ผู้มาเยือน พรีเดเตอร์

ทั้งนี้ หากใครเป็นเป็นแฟนตัวยงของพรีเดเตอร์ อาจจะรู้สึกชุ่มชื่นใจขึ้นมาได้หน่อย แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกฟินกับคาแรกเตอร์ในตำนานสักเท่าไหร่นัก เพราะเอาจริง ๆ ถ้าใครที่ไม่ใช่แฟนคลับพรีเดเตอร์ก็อาจจะบอกได้ว่า…ค่อนข้างธรรมดาและไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยในเรื่องนี้ เพราะเขาก็ยังมาพร้อมกับลูกไม้เดิม ๆ ที่ไม่ได้โชว์ศักยภาพและลีลาที่น่าตื่นตาตื่นใจออกมาเท่าไหร่นัก

ถือเป็นการเริ่มต้นจักรวาลพรีเดเตอร์ครั้งใหม่ได้น่าสนใจทีเดียว เหมือนกับเป็นการล้างทุกสิ่งที่ละเลงกันมาตลอดสิบปีแล้วเริ่มกันใหม่ด้วยภาคแรก ช่วงหนังจบ ก็จะเปิดเผยบางสิ่งไว้เป็นนัยๆ ว่า ภาคต่อไปจะตามมาแน่ คอยฟังข่าวเอาก็แล้วกัน!

งานภาพของเรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างมืดหม่นพอสมควร ด้วยความที่ให้ Mood & Tone ของภาพ รวมกับบรรยากาศในป่า ทำให้หลาย ๆ คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้มีความอึดอัด บรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ เพราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในฉากต่อไป

และในความเป็นหนึ่งในหนังที่พยายามเชื่อมโยงกับแฟรนไชส์ ผู้สร้างก็หาวิธีการสร้างสะพานกลับไปโยงใบผ่านหนังเรื่อง ‘Predator 2’ (1990) แบบน่าประหลาดใจพอสมควร ด้วยการใช้สิ่งของชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญในหนังเรื่องนั้น ให้มาปรากฏก่อนหน้าหลายร้อยปีในหนังเรื่องนี้

ยิ่งสำหรับคอเดนตายของฉบับหนังสือการ์ตูนด้วยแล้ว จะพบว่าหนังได้ใช้รายละเอียดจากเรื่องสั้นชื่อ ‘Predator: 1718’ ที่ตีพิมพ์ในปี 1996 เล่าถึงเผ่ายวตจาที่ชื่อ เกรย์แบ็ก (ตัวเดียวกับที่มาปรากฏในท้ายหนังภาค 2 ในปี 1990) ซึ่งได้ลงมาพบมนุษย์เป็นครั้งแรกในจังหวะสถานการณ์ที่ ราฟาเอล อะโดลินี กัปตันเรือโจรสลัดลำหนึ่งกำลังถูกทรยศจากลูกเรือ และนำมาซึ่งการต่อสู้ร่วมกันและยอมรับกันในฐานะนักรบ ถึงขั้นได้แลกอาวุธของกันและกันไว้ด้วย

รีวิวหนัง Prey ผู้มาเยือน ความรู้สึกหลังชม

โดยรวมฉากแอ็กชั่นของเรื่องทำให้ระทึกตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะได้เห็นความโหดของพรีเดเตอร์แบบสะใจเหมือนเก่า มีฉากติดเรตให้เห็นทั้งเรื่องแต่ไม่แหวะ ออกมากำลังดี ในขอบเขตที่แฟนๆ พรีเดเตอร์พึงพอใจ เพราะถึงแม้ลงดิสนีย์+ แต่งานสร้างไม่ใช่ดิสนีย์ทำ

ส่วนจุดด้อยมีบางๆ เป็นข้อจำกัดการทำหนังมากกว่าอย่างภาษาในเรื่องใช้อังกฤษทั้งหมดยกเว้นคนขาวที่บุกเข้ามามีใช้ภาษาอื่น (น่าจะโปรตุเกส) ซึ่งการที่เห็นเนื้อเรื่องอินเดียนแดงเป็นตัวเอกแต่พูด ENG กันหมดก็เป็นอะไรที่แหม่งๆ อยู่พอสมควร แต่ก็เข้าใจได้นั่นแหละครับ (เรื่องนี้ไม่มีพากย์ด้วย) และตัวนางเอกที่มารับบทนี้เป็นเม็กซิกันพื้นเมืองชื่อ Amber Midthunder ซึ่งก็พอเนียนๆ ว่าเป็นอินเดียนแดงได้ แต่ก็ยังดูผิวขาวและใสมากไปนิด แต่ดีที่เธอแสดงดี บทก็ดี เลยไม่มีปัญหาคาใจอะไรมาก

หรืออีกจุดก็คือการที่พรีเดเตอร์ตัวนี้ค่อนข้างกลวงๆ เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมาก เหมือนแค่เป็นบอสที่มาล่าทั่วๆ ไป ไม่ได้มีความพยายามถ่ายทอดอะไรให้เห็นแบบภาคอื่นๆ ที่อาจจะมีการพูดคุยออกเสียงภาษาของมัน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์บ้าง แต่เรื่องนี้คือไม่มีเลย ซึ่งก็ไม่ถือว่าแย่อะไร แต่มันจบแล้วก็จบ ไม่เหมือนอย่างภาคแรกที่อาร์โนลด์เล่นยังมีฉากจบที่มันสื่อสารกับตัวเอกก่อนทิ้งทวนระเบิดตัวเองนั่นแหละครับ แต่ตัวนี้ไร้ซึ่งทุกอย่างเลย

และที่คนอาจจะคาดหวังไว้คือฉากทิ้งท้ายตามสูตรพรีเดเตอร์แทบทุกภาค ตัวหนังมีเหมือนไม่มี เพราะใช้ภาพวาดเป็นภาพนิ่งเล่าเรื่องทั้งหมดเหมือนเป็นภาพเขียนติดผนังถ้ำลำดับเหตุการณ์ ก่อนมีตอนท้ายต่อจากตอนจบของนางเอกเท่านั้นครับ รวมรีวิวหนังทั้งหมด

ถือเป็นพรีเดเตอร์ภาคที่ดีรองจากภาคแรกจริงๆ สมคำเล่าลือ แต่ว่าก็ยังไม่ได้ดูดิบหรืออันตรายเท่ากับภาคแรก ออกจะเป็นภาคบู๊กันตัวๆ ที่มันส์กว่าภาคแรกมากกว่า ไม่ใช่การหลบซ่อนสู้กันเลย เพราะสู้กันจะๆ ทุกฉาก ซึ่งสนองแฟนๆ พรีเดเตอร์ได้แน่นอน และยังมีธีมอินเดียนแดงกับคนขาวที่สอดแทรกเข้ามาเนียนๆ กับเรื่องได้ดีเลยครับ