รีวิว Zero Dark Thirty

การเข้าชิงรางวัล Oscar ปีนี้ถึง 5 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม อาจทำให้ Zero Dark Thirty ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับหญิง Kathryn Bigelow ที่สร้างจากเรื่องจริงว่าด้วยภารกิจตามลาบินลาเดน ผู้นำเครือข่ายก่อการร้ายอัลกอดิอะฮ์ ดูน่่าสนใจขึ้นเป็นกอง แต่อาจเพราะ The Hurt Locker ผลงานชิ้นก่อนของผู้กำกับคนนี้ ที่ส่วนตัวไม่ประทับใจนักและเห็นว่า “น่าเบื่อ” เกินไป แม้จะคว้ารางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 2010 มาได้ก็ตาม ก็ทำให้หวั่นใจไม่น้อยว่าผลงานชิ้นใหม่นี้จะซ้ำรอยเดิมหรือเปล่า เรื่องนี้ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

บินลาเดนอยู่ที่ไหน Zero Dark Thirty สร้างจากเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพยานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจตามล่า “บินลาเดน” ซึ่งกินระยะเวลาเป็น 10 ปี ผ่านมุมมองของตัวละครหลักอย่าง Maya (Jessica Chastain) เจ้าหน้าที่ CIA สาว ซึ่งแฝงตัวอยู่ในสถานทูตสหรัฐฯ ในปากีสถาน ผู้ทุ่มเทให้ภารกิจครั้งนี้อย่างสุดตัว

หากเทียบกับ The Hurt Locker แล้วแม้จะเป็นหนังสงครามเหมือนกัน แต่ Zero Dark Thirty ก็ดูเหมือนจะมีข้อจำกัดกว่า เพราะเรื่องอิงความจริง ที่คนทั่วโลกต่างรู้บทสรุปอยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า Zero Dark Thirty กลับสามารถมอบ “ความบันเทิง” ได้มากกว่า The Hurt Locker ในขณะที่ยังคงโทนของความสมจริง และการขับเน้นความรู้สึกของตัวละครเอาไว้ได้

แม้ Zero Dark Thirty จะยังคงมีลักษณะเหมือนสารคดี ด้วยการดำเนินเรื่องที่แทรกรายละเอียดจำนวนมากเพื่อความสมจริง แต่การแบ่งเป็นตอนย่อยๆ ก็ทำให้เราเห็นถึงพัฒนาการความคืบหน้าของภารกิจตลอดทั้ง 10 ปี จากกลุ่มก่อการร้ายซาอุ ค่อยๆ ขยับเข้าตัวบินลาเดนเรื่อยๆ จนสามารถเข้าถึงตัวได้สำเร็จ การเล่าเรื่องแบบสอบสวนแบบนี้ชวนให้ลุ้นและตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม Zero Dark Thirty ก็ต่างจากหนังสอบสวนเรื่องอื่น ตรงที่ไม่ได้ต้องการคนดูอย่างเราร่วมไขปริศนาไปกับตัวเอง แต่สิ่งที่ต้องการคือการรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเอก ความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง อาจทำให้เรารู้สึกเบื่อได้ในตอนกลางเรื่อง เพราะภารกิจแทบจะไม่คืบหน้าเลย แต่ขณะเดียวกัน ความเบื่อและความเครียดที่เกิดขึ้นก็ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของ Maya ในขณะนั้นไม่น้อย

ความโหดร้ายที่จำเป็น การจับตายบินลาเดน อาจดูเหมือนเป็นชัยชนะในสงครามการก่อการร้ายของอเมริกาครั้งนี้ แต่ Zero Dark Thirty ก็ไม่ได้ทีท่าที่จะชื่นชมประเทศตนเพียงอย่างเดียว แต่กลับเสียดสี ประชดประชัน และเผยด้านร้ายๆ ของอเมริกามากมาย ว่าเพียงเพื่อชัยชนะ มหาอำนาจดินแดนแห่งเสรีภาพนี้สามารถทำได้ทุกอย่าง แม้แต่การเป็น “ผู้ร้าย” เสียเอง ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

ในขณะที่สหรัฐอเมริกามักใช้ข้ออ้าง “สิทธิมนุษยชน” เข้าโจมตีประเทศต่างๆ Zero Dark Thirty กลับแสดงถึง คุกลับ ค่ายลับ การทรมานนักโทษ การลอบสังหาร การติดสินบน ดักฟังโทรศัพท์ ฯลฯ และทุกการกระทำที่อเมริกาเคยใช้ประนามคนอื่น ช่างเป็นตลกร้าย ที่ฉากหน้ากับฉากหลังแตกต่างกันสิ้นเชิงเช่นนี้

แต่ถึงจะเปิดโปงความชั่วร้ายของประเทศตัวเองขนาดไหน Zero Dark Thirty ก็ได้สร้างความชอบธรรมให้การกระทำเหล่านั้น ในฐานะ “ความโหดร้ายที่จำเป็น” (หรืออย่างน้อยพวกเขาก็คิดว่าจำเป็น) ไม่แปลกที่ตัวหนังจะแอบเสียดสีนโยบายของ ปธน.โอบามา ที่เน้นเรื่องการถอนทหารกลับและยกเลิกการสอบสวนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะ “โครงการนักโทษ” ซึ่งสำหรับตัวเอกอย่าง Maya แล้ว นั่นหมายถึงทำให้การตามตัวบินลาเดนเป็นเรื่องยากเข้าไปอีก มันเหมือนเป็นการพูดแทนในใจใครหลายคนว่า “บางทีเราก็เบื่อที่จะพูดเรื่องมนุษยธรรม เพราะที่เราต้องการจริงๆ คือกระทืบคนที่อยู่ตรงหน้าเรานี่”

รีวิว Zero Dark Thirty

จุดเด่นที่สุดของ Zero Dark Thirty ช่วง 30 นาทีสุดท้าย ทั้งที่เราต่างก็รู้บทสรุปของมันจากข่าวกันอยู่แล้ว แต่ด้วยการถ่ายทำที่เน้นความสมจริงทั้งภาพและเสียง ช่วยสร้างบรรยากาศที่กดดันและลุ้นระทึกไปกับหน่วยซีลไม่น้อย แต่พร้อมกันนั้นมันก็สร้างความ “เครียด” ให้เราไม่น้อยเช่นกัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฝั่งอเมริกาทำไปเพื่อให้ภารกิจนี้บรรลุผลสำเร็จ อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

ภารกิจสำเร็จ แต่เราชนะ หากใครเคยผ่านเรื่อง The Hurt Locker ของผู้กำกับคนนี้มาแล้ว คงจะพบว่าทั้ง The Hurt Locker และ Zero Dark Thirty นั้นไม่ได้แตกต่างกันเลยในประเด็นที่ต้องการพูดถึง หน้าฉากของ The Hurt Locker อาจว่าด้วยภารกิจกู้ระเบิดในอิรัก ขณะที่หน้าฉากของ Zero Dark Thirty ว่าด้วยภารกิจตามล่าบินลาเดน แต่สิ่งที่ทั้ง 2 เรื่องสื่อสารเหมือนกัน คือ “สงคราม”

ได้ทำให้ตัวเอกจากทั้ง 2 เรื่องได้กลายเป็นคนเสพย์ติดสงคราม ที่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้อีกต่อไป ซึ่งจุดนี้นี่เองที่ทำให้ทั้ง 2 เรื่องสามารถเข้าถึงคนอเมริกาโดยเฉพาะคนที่เข้าไปเกี่ยวกับสงครามการก่อการร้ายได้เป็นอย่างดี และเพราะจุดนี้อีกเช่นกันที่ส่งให้ The Hurt Locker คว้ารางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี 2010 ได้

ใน The Hurt Locker เราได้เห็นร้อยเอก William James กลายเป็นคนเสพย์ติดความตื่นเต้นในสงคราม และมีปัญหาในการกลับมาใช้ชีวิตปกติ ขนาดที่ว่าไม่สามารถซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตได้ จนสุดท้ายเขาเลือกที่จะกลับไปใช้ชีวิตในสงครามอีกครั้ง แม้นั่นจะหมายถึงการไปเสี่ยงตายและทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง ใน Zero Dark Thirty ยังเกาะกุมประเด็นเดิม

แต่ลงลึกไปอีก ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง Maya ในช่วงเวลา 10 กว่าปี ตั้งเริ่มมาจับภารกิจบินลาเดนจนกระทั่งภารกิจสำเร็จ ตลอด 10 กว่าปีนั้น Maya ไม่ได้ทำงานอื่นเลย ชีวิตเธอทุ่มให้กับภารกิจนี้ และเป็นภารกิจนี้นี่เองที่ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเธอจากเจ้าหน้าที่ที่รู้สึกพะอืดพะอมกับการทรมานนักโทษในช่วงแรก มาเป็นคนที่พร้อมจะระเบิดทุกสิ่งถ้ามีอำนาจเพียงเพื่อให้บินลาเดนตายในวันนี้

 

รีวิว Zero Dark Thirty

 

ความเครียดที่สั่งสมจากการที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบินลาเดนได้ทั้งที่เวลาผ่านไปเป็น 10 ปี บวกด้วยความโศกเศร้าจากการที่ต้องเห็นเพื่อนร่วมงานล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ได้กัดกร่อน Maya จนเหลือแต่เพียงความด้านชา สำหรับเธอแล้ว บินลาเดนกลายเป็นเพียงภารกิจที่ “ต้อง” ทำให้สำเร็จ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆ เห็นว่าบินลาเดนไม่สำคัญอีกต่อไป

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

“Zero Dark Thirty” เป็นหนังที่ตลกมาก นี่เป็นเพราะว่าฮอลลีวูดที่อยู่ห่างไกลออกไปประณามการยอมจำนนต่อการทรมาน และฝ่ายขวาสุด (และ CIA) ประณามเพราะดูเหมือนเป็นการบ่งชี้ว่าการทรมานมักถูกใช้เมื่อไม่ได้เกิดขึ้น และกรณีแปลก ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนสุดขั้ว ในทางที่แปลก ,ถึงจะยอม! สำหรับฉัน ฉันต้องการดูเพียงเพราะ Asner และคนอื่นๆ ไม่ต้องการให้ฉันดูหนังเรื่องนี้ ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

และยิ่งพวกเขาบ่น ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันคุ้มค่า และความจริงที่ว่าได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รับรองว่าไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะได้เห็น “Zero Dark Thirty” อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้กังวลที่จะดูภาพและไม่ชอบดูมัน ทำไม? เพราะฉันรู้ว่าโดยทั่วไปแล้วเกิดอะไรขึ้น และไม่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์เลยจริงๆ – และมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ไม่ลงตัวมาก

แม้จะไม่ได้ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ฉันคาดหวังจากผู้กำกับแคทรีน บิจโลว์มาก ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาอย่างดีซึ่งดูเหมือนเกือบจะเหมือนสารคดีและมีนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากมาย เธอทำได้ดีมากกับ “Hurt Locker” และอีกครั้งที่เธอทำได้ดีกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันจะพูดมากกว่านี้แต่บอกตามตรง ณ เวลานี้ (หลังจากรางวัลออสการ์) มีบทวิจารณ์หลายพันล้านรีวิวแล้ว และฉันสงสัยว่าฉันจะเพิ่มอีกหรือไม่

ยังไงก็ตาม มีใครรู้สึกแปลกๆ บ้างไหมที่เห็นคริส แพรตต์ (แอนดี้จากเรื่อง “Parks and Recreation”) ในภาพยนตร์เรื่องนี้บ้าง? หลังจากที่ได้เห็นเขาในบทบาทอื่นนี้ การได้เห็นเขากับทีม Seal ก็แปลกไม่น้อย!

ZERO DARK THIRTY ภาพยนตร์มหากาพย์เกี่ยวกับความซับซ้อน สับสน และน่าผิดหวังในการตามล่าผู้บงการผู้ก่อการร้าย Osama bin Laden ที่ใช้เวลานานนับทศวรรษ ZERO DARK THIRTY กำกับโดย Kathryn Bigelow ให้ติดตามผลงาน THE HURT LOCKER ที่เชี่ยวชาญ น่าเสียดายที่สิ่งนี้กลายเป็นการผลิตระดับปานกลางที่ไม่ได้อยู่ในลีกเดียวกันกับรุ่นก่อน

ลักษณะของปัญหาดูเหมือนจะอยู่ในสคริปต์ ซึ่งพยายามดิ้นรนเพื่อสร้างโครงเรื่องที่ดีจากเหตุการณ์ที่วุ่นวายและดูเหมือนจะไม่เชื่อมต่อกันมากมาย ธรรมชาติของการล่านั้นยาวและช้ามาก และไม่ได้ช่วยให้ผู้ชมไม่มีตัวละครให้เชื่อมโยงด้วย เจสสิก้า แชสเทน ชนะทุกเสียงชื่นชมจากบทบาทของเธอในการแสดงนำในฐานะผู้หญิงที่ไม่ยอมเลิกตามล่าสิ่งที่อาจเป็นคนปิศาจ แต่การแสดงของเธอคือการจ้องมองที่หน้าว่างเปล่าเป็นเวลานานและฉันก็ไม่ได้ ไม่อบอุ่นสำหรับเธอเลย

 

รีวิว Zero Dark Thirty

 

สิ่งที่ ZERO DARK THIRTY จะกลายเป็นชุดของลูกตั้งเตะที่เชื่อมต่อกันอย่างหลวมๆ ซึ่งบางลูกก็ยอดเยี่ยม และบางลูกก็น้อยกว่านั้น การทรมานดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดและหนักเกินไปในความพยายามที่จะสร้างประเด็นทางการเมือง ในทางกลับกัน ฉากกับเจนนิเฟอร์ เอห์ก็จัดการได้ดีมาก ภาพยนตร์โดยรวมมีความชำนาญทางเทคนิคแต่ขาดความเอาใจใส่ ไม่มีการระทึกใจหรือความตื่นเต้นที่นี่แม้แต่ในช่วงไคลแม็กซ์ซึ่งควรจะเกร็งเหงื่อออกมาก

ตัวละครชายถูกลดขนาดเป็นท่าทางของผู้ชาย (Chris Pratt, Joel Edgerton, Jason Clarke, Mark Strong) และ Bigelow ดูเหมือนจะเน้นที่การแสดงจี้ที่เบี่ยงเบนความสนใจ (Scott Adkins, Edgar Ramirez, James Gandolfini, Stephen Dillane, John Barrowman) มากกว่าการสร้าง ภาพยนตร์ที่โดดเด่นอย่างแท้จริง

สรุปของหนังเรื่องนี้ ขอบอกว่าชอบช่วงท้ายที่เป็นไฮไลต์บุกเข้าไปในบ้านเหมือนกันค่ะ อุทานในใจกับตัวเองว่า สุดยอด!!!! มันสมจริงมาก ไร้ดนตรีประกอบ ยิ่งบีบเราให้ลุ้นตามแบบไม่รู้ตัว เราลุ้นๆนั่งบีบมือตั้งแต่เริ่มนับถอยหลังจะถึงที่หมายจนจบภารกิจเลยค่ะ หากชื่นชอบการรีวิวของเรา สามารถติดตามการรีวิวของเราได้ที่นี่  เว็บรีวิวหนัง