รีวิว The Truman Show

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างจากชีวิตจริง ชื่อ The Truman Show เป็นหนึ่งหนังในดวงใจของเราเลย เป็นหนังที่ครูเคยเปิดให้ดูบ่อยมากๆ ในคาบภาษาอังกฤษตอนอยู่มัธยม ผ่านมาเกือบ 10 ปีเพิ่งได้กลับมาดูซ้ำอีกรอบเมื่อ Netflix เอามาให้ดู เราเลยขอรำลึกความหลังสักหน่อย ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

The Truman Show เล่าเรื่องของ ทรูแมน (Jim Carrey) ชายหนุ่มที่มีชีวิตแสนธรรมดาในเมืองเล็กๆ บนเกาะอันสุขสงบ ทรูแมนไม่เคยเอะใจเลยว่าแท้จริงแล้วชีวิตของเขาตั้งแต่เกิดมานั้นถูกถ่ายทอดผ่านทีวี มีผู้ชมทั่วโลก

และโลกที่เขาอาศัยอยู่เป็นเพียงโรงถ่ายหนังขนาดใหญ่เท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งมีสปอร์ตไลต์ตกลงมาจากท้องฟ้า ต่อด้วยเหตุการณ์แปลกๆ ไม่เข้าที่เข้าทางมากมายที่เริ่มทำให้ทรูแมนรู้สึกแหม่งๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุที่รายงานสถานะว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

ผู้คนที่ดูเหมือนจะให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษ หรือลำดับการปรากฏตัวของผู้คนที่เข้าออกฉากได้เป็นจังหวะเกินไป เขาเริ่มกังขากับที่ที่เขาอยู่ บวกกับต้องการการผจญภัย จึงตัดสินใจหนีออกจากเมือง

ประเด็นหลักๆ ที่เห็นกันในเรื่องนี้คือรายการเรียลลิตี้ ซึ่งก็ถือได้ว่าเรียลมากเพราะมีทรูแมนนี่แหละที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นเพียงตัวละครหลักของรายการ โลกที่เขาอยู่ก็เป็นเพียงการเซ็ตฉาก ผู้คนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อน ภรรยา ล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงทั้งนั้น ไม่มีอะไรในชีวิตทรูแมนที่เป็นความจริงเลยสักอย่าง นอกจากตัวเขาเอง

ด้วยเหตุนี้ละมั้ง ผู้ชมถึงให้ความสนใจกับรายการนี้มาก เพราะมันไม่ใช่การแสดงละครตามสคริปต์ แต่มันคือชีวิตจริงของคนคนหนึ่งซึ่งไม่รู้เลยว่าเขากำลังถูกเซ็ตฉาก ผู้ชมคงจะลุ้นไปกับเรื่องราวของเขาที่เหล่าโปรดิวเซอร์ช่วยกันสรรสร้าง และมีความสุขกับทุกๆ การกระทำ ทุกๆ อารมณ์ความรู้สึกของเขา ชีวิตจริงของทรูแมน กลายเป็นเพียงความบันเทิงของคนดู เท่านั้นเอง

และเมื่อรายการจบไป ผู้ชมก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า “เปิดช่องอื่นดูซิ มีอะไรน่าดูอีกบ้าง”

ความบันเทิงจึงเป็นเพียงสิ่งที่มาแล้วก็ไป ไม่ได้อยู่อย่างจีรังยั่งยืน ผู้ชมที่ตอนแรกเชียร์ทรูแมน พอรายการจบ เขาก็กลายเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

ดูไปแล้วจะสงสารทรูแมนมาก แล้วก็แอบสงสัยนะว่าในหนังนี่ไม่มีกลุ่มเรียกร้องสิทธิมนุษยชนเลยเหรอ ปล่อยให้รายการออกอากาศมาตั้ง 30 ปีแน่ะ แต่เอาเป็นว่า รายการนี้ฮอตฮิตมาก คนดูกันแบบไม่ทำการทำงาน

ส่วนทรูแมนนั้นก็ไม่ได้รู้ตัวเลย เขาเชื่อว่าโลกที่เขาอยู่คือความจริง ไม่มีอะไรจริงไปกว่านี้อีกแล้ว ก็เหมือนเราๆ ที่เชื่อว่าโลกที่เราอยู่คือความจริง ถ้าเกิดสมมติวันหนึ่งเราค้นพบว่าเมืองที่เราอยู่ ผู้คนที่เรารู้จัก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ ล้วนแล้วแต่ปลอมล่ะ? เจ็บปวดน่าดูเลยว่าไหม “เรายอมรับความเป็นจริงของโลกที่เรานำเสนอ มันง่ายอย่างนั้น”

อีกสิ่งที่จิกกัดรายการทีวีได้ดีคือฉากต่างๆ ในหนังที่มีการโฆษณา ทั้งการแปะโปสเตอร์ การให้นักแสดงใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งพูดโฆษณาสินค้าออกอากาศ ผสมไปกับสคริปต์เลย

ซึ่งรายการก็คงได้เงินจากสปอนเซอร์เหล่านี้แหละ ยิ่งคนดูเยอะก็ยิ่งรับเละ ดูๆ ไปแล้วก็จุกเหมือนกันว่าชีวิตจริงๆ ของทรูแมน ดันกลายเป็นพื้นที่โฆษณาของเหล่าแบรนด์ต่างๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

และที่ตลกอีกอย่างคือ บางที ในสถานการณ์ที่ซีเรียสที่สุด นักแสดงก็ยังขายของกันได้แบบดื้อๆ คือทั้งขำทั้งอิหยังวะ ช่วยทำให้มันเรียลหน่อย อย่าหน้าเลือดตลอดได้มั้ย

ในหนัง บ่อยครั้งที่เราจะเจอซีนต่างๆ ซึ่งพยายามยับยั้งไม่ให้ทรูแมนมีความคิดอยากหนีออกไป ทั้งโปสเตอร์คำเตือนเรื่องภัยเครื่องบินตก, อุบัติเหตุล่องเรือในวัยเด็กที่พรากชีวิตพ่อ

การจัดอันดับที่บอกว่าเมืองที่ทรูแมนอยู่นั้นดีที่สุดในโลกแล้ว, การร่วมมือร่วมใจกันของนักแสดงที่คอยกันท่าไม่ให้ทรูแมนหนี ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เปรียบเสมือนกำแพงกั้นไม่ให้ทรูแมนจากไป โดยเฉพาะปมวัยเด็กเรื่องพ่อ ทำให้ทรูแมนกลายเป็นคนกลัวน้ำ ไม่กล้าหนีออกไปจากเมืองที่เป็นเกาะ

แต่สุดท้ายแล้ว ทรูแมนก็เอาชนะความกลัว ล่องเรือหนีออกไปจนได้

 

รีวิว The Truman Show

 

เพราะทรูแมนนั้นมีความฝัน เขาอยากจะเป็นนักผจญภัย ไปในที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยไป เขามีความปรารถนาแรงกล้านี้อยู่แล้ว สิ่งนี้คือแรงผลักดันให้เขากล้าทำในสิ่งที่ไม่น่าจะกล้าในที่สุด และได้ค้นพบความจริงแบบต่อหน้าต่อตา

จริงๆ ชีวิตของเราก็อาจจะคล้ายทรูแมนในแง่ที่ว่า มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตเรา ซึ่งเราล้วนแล้วแต่คิดว่านี่คือชีวิตของเรา เราควบคุมได้ เรามีความสุข เศร้า โกรธ เหงา ทุกอย่างเราควบคุมเอง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเช่นนั้นรึเปล่า?

เราควบคุมได้จริงๆ เหรอว่าเราจะมีความสุขเมื่อไร ว่าเราจะโกรธใครไหม ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น? อันที่จริงชีวิตเราก็แทบจะคาดเดาไม่ได้เหมือนกัน บางคนอาจจะใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวันๆ ไหลไปเรื่อยๆ ตามกระแสสังคม

รีวิว The Truman Show

โดยไม่ได้ตั้งคำถามเลยว่าชีวิตนี้จริงๆ เราต้องการอะไร? ความฝันของเราคืออะไร? บางคนอาจจะไม่ได้ทำตามความฝันจนกระทั่งวันตายด้วยซ้ำ แม้ทรูแมนจะอยู่ในเรียลลิตี้โชว์ แต่เขามีความฝัน ความฝันที่เป็นจริง และเขาก็กล้าพอที่จะออกไปพิสูจน์มัน ไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

ในตอนจบ เป็นซีนที่ติดตราตรึงใจมาตลอด เมื่อทรูแมนล่องเรือชนกำแพงท้องฟ้า ทำให้เขารู้ความจริงว่านี่แหละคือจุดสิ้นสุดโลกของเขา ไม่มีท้องทะเลแผ่กว้างออกไปไกลกว่านี้อีกแล้ว ทรูแมนรู้สึกสิ้นหวังเสียใจ

เขาตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามผนัง เดินขึ้นบันไดไปเจอกับประตูที่เขียนว่า “ทางออก” ตอนนั้นแหละที่เขาได้ยินเสียงจากคริสตอฟฟ์ โปรดิวเซอร์ของรายการ ดังมาจากท้องฟ้าราวกับเป็นพระเจ้า

“โลกข้างนอกไม่ได้เปลือกปลอมน้อยไปกว่าในนี้หรอก” เขาบอก “โลกที่ฉันสร้างนี่แหละดีที่สุดสำหรับนายแล้ว”

ใช่ คริสตอฟฟ์อาจจะพูดถูก ทรูแมนสามารถมีชีวิตอย่างสุขสบายในโรงถ่ายทำหนัง ไม่ต้องลำบากลำบนอะไร แต่ทรูแมนจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้จริงๆ น่ะหรือ?

เหมือนเราจะได้ยินทรูแมนตะโกนอยู่ในใจว่า “พอกันที” ไม่เอาแล้วละชีวิตที่สวยแค่เปลือกนอก ขอก้าวออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงดีกว่า แม้ว่าทางที่ออกไปจะมืด มองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม

“คุณไม่เคยติดกล้องในหัวผมนี่!” ทรูแมนสวนกลับ เมื่อคริสตอฟฟ์เอ่ยว่าเขารู้จักทรูแมน ดีกว่าที่ทรูแมนรู้จักตัวเองอีก แม้สิ่งต่างๆ ภายนอกจะถูกบงการได้ แต่ความรู้สึกแท้จริงข้างใน ตัวเรานี่แหละรู้ดีที่สุด

ในตอนจบ เราไม่รู้ว่าชีวิตภายนอกโรงถ่ายหนังของทรูแมนเป็นอย่างไร หนังตัดจบไปแบบค้างๆ ต้องไปจินตนาการกันเอาเอง เช่นเดียวกับรายการ The Truman Show ที่ทุกคนดูอยู่เช่นกัน สิ่งสุดท้ายที่ทรูแมนพูดกับผู้ชม ก็คือสิ่งที่เขาพูดมาตลอดทั้งรายการ

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

ฉันไม่เคยชอบอารมณ์ขันของจิม แครี่เลย ฉันพบว่ามันกว้างและกักขฬะมาก อย่างไรก็ตาม ฉันมีความสุขมากที่ได้เห็น “The Truman Show” และแปลกใจที่ฉันได้พิจารณาความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับ ‘คอเมดี้’ ก่อนหน้านี้ของเขา โชคดีที่ Carey แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถแสดงได้และไม่ได้ทำให้เสียเปรียบ เป็นการยกย่องพรสวรรค์ในบ้านเกิดของเขา ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

เช่นเดียวกับผู้กำกับและนักเขียน ด้วยผู้กำกับที่อ่อนแอ แครี่อาจเริ่มหาเสียงหัวเราะด้วยวิธีที่บ้าคลั่ง 1001 อย่างไรก็ตามที่นี่ตรงไปตรงมาและค่อนข้างน่ารัก ฉันสามารถพูดคุยเกี่ยวกับโครงเรื่อง

แต่มีบทวิจารณ์เป็นพันล้านสำหรับเรื่องนี้แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าคิดเอาเองเพราะคุณไม่ชอบ “Dumb and Dumber” หรือ “Ace Ventura” คุณจะไม่รักหนังเรื่องนี้ และฉันชอบ “The Truman Show” มาก และคิดว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่น่ารักด้วยหัวใจและจินตนาการที่แย่มาก

อีกอย่าง ฉันจะพูดแบบเดียวกันกับ Will Farrell และ Adam Sandler แม้จะไม่ชอบหนังกว้างๆ บางเรื่อง แต่ก็มีหนังจริงจัง (เช่น “Reign Over Me” หรือ “Stranger Than Fiction”) ที่พิเศษกว่านั้น

นอกจากนี้ ฉันต้องยอมรับว่าฉันสนุกกับภาพยนตร์ที่ ‘โง่’ บางเรื่องของพวกเขา เช่น “Water Boy” และ “Talladega Nights” ดังนั้นอย่าคิดไปเองว่าการที่คุณอาจไม่ชอบหนังบางเรื่องของพวกเขาก็หมายความว่าพวกเขาทั้งหมดไม่ใช่ถ้วยชาของคุณ

หลังจากถูก Fearless ปลิว ฉันก็ออกไปดูงานของ Peter Weir มากขึ้น ระหว่างทางก็เจอทรูแมนโชว์ หลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้ว ฉันก็ได้แต่ชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ Truman Show เป็นละครตลกเสียดสีที่ตระการตาและซับซ้อนอย่างแท้จริงเกี่ยวกับอำนาจทุกอย่างของสื่อซึ่งได้ประโยชน์จากทิศทางและการแสดงที่ดี บทภาพยนตร์ที่สวยงามโดยแอนดรูว์ นิคคอล

และกำกับโดยเวียร์อย่างไร้ที่ติ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างยิ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนจบที่ฉุนเฉียวอย่างแท้จริง ที่นี่แคร์รี่เล่นเป็น Truman Burbank ดาราแห่งรายการเรียลลิตี้ยอดนิยมของโลก สิ่งที่จับได้คือเขาไม่รู้ว่า Truman เชื่อว่าเขาอาศัยอยู่ใน Seahaven ซึ่งเป็นชุมชนบนเกาะที่ค่อนข้างสงบสุข

 

รีวิว The Truman Show

 

แต่ในความเป็นจริง มันเป็นเพียงฉากในสตูดิโอที่มีเพื่อนและครอบครัวของเขาเป็นนักแสดง การตระหนักรู้นี้และวิธีการผ่านพ้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่ฉันก็พบว่าเวียร์เป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างทะเยอทะยาน แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก นอกจากการกำกับ คอนเซปต์ และบทแล้ว การแสดงก็ทะยานขึ้นที่นี่จริงๆ

หลังจากที่ชอบการแสดงของเขาในเรื่อง Liar Liar และ The Mask ฉันตั้งตารอที่จะได้เห็นจิม แคร์รี่ย์ในบทบาทที่ดราม่ากว่านี้ และการแสดงที่จำกัดของเขาในขณะที่ตลกในส่วนต่างๆ เอ็ด แฮร์ริสนั้นยอดเยี่ยมเมื่อคริสตอฟและลอร่า ลินนีย์มีความโดดเด่นในฐานะเมอริล โดยรวมแล้วเป็นหนังที่สนุก ซึ้ง แต่ก็ซึ้ง 10/10 เบธานี ค็อกซ์

เส้นด้ายแฟนตาซีที่น่าดึงดูดซึ่งขับเคลื่อนคุณไปสู่การเดินทางสู่โลกที่เป็นไปไม่ได้ และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ “แนวความคิด” ที่ยังคงอยู่ในใจ (งานอื่นที่เทียบเคียงได้ในตอนนี้คือ GROUNDHOG วัน). ในแง่ของรายการเรียลลิตี้เช่น BIG BROTHER THE TRUMAN SHOW มีประสิทธิภาพในการพรรณนาถึงโลกทั้งใบที่หมกมุ่นอยู่กับรายการโทรทัศน์รายการใดรายการหนึ่ง

ซึ่งเป็นรายการ “เรียลลิตี้” ขั้นสุดยอดตามที่แสดงวันที่ 24 ชั่วโมง 7- ชีวิตในหนึ่งสัปดาห์ของชายคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในทะเลที่ปลอมตัวและแสร้งทำเป็นผู้คน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับพรจากดนตรีที่ยอดเยี่ยมและผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่เก่งและไม่เหมือนใครใน Peter Weir นี่คือภาพยนตร์ที่แนวความคิดนี้ไม่มีทางล้มเหลว สคริปต์มีไหวพริบและน่าขบขันในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตจริงบุกรุกโลกแฟนตาซีและต้องถูกอธิบายโดยผู้ผลิตอย่างสิ้นหวัง

จิม แคร์รี่ย์ – พูดตามตรง นักแสดงที่ฉันทนไม่ได้ – เล่นบททรูแมนอย่างจำกัดและเพียงพอ ซึ่งน่าจะเป็นบทบาทที่เข้าถึงได้มากที่สุดสำหรับผู้ที่ไม่ใช่แฟนของเขา เอ็ด แฮร์ริสขโมยฉากของเขาในฐานะคริสตอฟที่น่าเกรงขามและขี้กลัว

และนักแสดงที่เหลือก็สนุกกับการเล่นตัวละครที่สุภาพและเป็นมิตรที่เหนือชั้นด้วยคุณค่าที่ตนมี ด้วยการขยิบตาอย่างรู้เท่าทันบริโภคนิยมและไม่มีอารมณ์อ่อนไหวมากเกินไป

นี่คืออาหารสำหรับครอบครัวที่สมบูรณ์แบบและหนังเล็กๆ ที่ต้องไปดูด้วยหัวใจที่อบอุ่นและปัจจัยที่ให้ความรู้สึกดี มันน่าจะสมควรได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จริงๆ เว็บรีวิวหนัง