รีวิว The Pursuit of Happiness

ถ้าอยากจะถามคนรักหนังว่า หากจะหาหนังดี ๆ ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมาดูซักเรื่อง เชื่อว่า The Pursuit of Happyness จะต้องเป็น Top 5 ที่ติดอยู่ในโผแน่นอน สำหรับใครที่ยังไม่เคยชมเรื่องนี้ วันนี้ผู้เขียนจะมารีวิวให้ชมค่ะดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

ในส่วนของ The Pursuit of Happyness ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 2006 และนำแสดงโดยหนึ่งในดาราชายยอดนิยมตลอดกาล Will Smith ค่ะ โดยพ่วงมาด้วยลูกชายตัวน้อยสุดน่ารัก Jaden Smith ค่ะ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของนายหน้าค้าหลักทรัพย์หรือ Broker

คนหนึ่งที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ การ์ดเนอร์ (Christopher Garder) ว่า กว่าจะประสบความสำเร็จได้ ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทุกข์ทน และขมขื่นอย่างไรบ้าง ซึ่งขอบอกค่ะว่าคุณการ์ดเนอร์คนนี้เป็นบุคคลที่มีอยู่จริง และยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ค่ะ แม้บทภาพยนตร์จะมีการดัดแปลงไปบ้างบางส่วนเพื่อให้ผู้ชมได้รับอรรถรสเพิ่มขึ้น แต่แกนหลักจริง ๆ ก็ based on true story ค่ะ

แล้ว สำหรับเนื้อเรื่องคร่าว ๆ ของ The Pursuit of Happyness เริ่มต้นที่ชีวิตของคริส พระเอกของเราซึ่งมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีภรรยาและลูกชายที่น่ารัก 1 คน โดยภรรยาทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่โรงแรม ส่วนพระเอกได้นำเงินเก็บทั้งหมดที่เขามีไปลงทุนซื้อเครื่องสแกนกระดูก (Bone Scanner) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดหนึ่งจากบริษัท

 

รีวิว The Pursuit of Happiness

 

เพื่อนำมาขายต่อให้กับคุณหมอในโรงพยาลและคลินิกต่าง ๆ โดยในช่วงแรกการลงทุนของเขาทำผลตอบแทนให้ดีมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เครื่องสแกนกระดูกที่ซื้อมานั้นแทบขายไม่ได้ และเงินทุนทั้งหมดที่เขามีก็จมไปกับมันเรียบร้อยแล้ว ทำให้ครอบครัวเริ่มจะเกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมา

ฝ่ายพระเอกออกจากบ้านทุกวันเพื่อนำเจ้าเครื่องนี้ไปเสนอขายตามที่ต่าง ๆ แต่ก็กลับบ้านมาพร้อมกับเจ้าเครื่องเดิมนี้ ซึ่งก็คือ ขายไม่ออกนั่นเอง ฝ่ายภรรยาเริ่มทนไม่ไหวเนื่องจากเห็นสามีล้มเหลว ประกอบกับตัวเองต้องทำงานหนักขึ้น บางวันต้องทำ 2 กะ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว และเป็นจุดแตกหักให้ทั้งคู่แยกทางกันในที่สุดอย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

ซึ่งกระนั้น คริสนำลูกชายมาอยู่ด้วย โดยเริ่มจากการออกมาเช่าห้องเล็ก ๆ อยู่ และพยายามขายเครื่องสแกนกระดูก แต่สุดท้ายสถานการณ์ทางการเงินกลับยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ วันหนึ่งคริสบังเอิญไปเจอชายแต่งตัวดีคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถสปอร์ตคันหรูในย่านวอลสตรีท

ซึ่งเป็นแหล่งการเงินที่สำคัญของอเมริกา คริสจึงเดินเข้าไปถามชายคนนั้นว่าเขาทำงานอะไรและซื้อรถคันนี้ได้อย่างไร (ประมาณว่า ทำมาหากินอะไรถึงรวยจนซื้อรถสปอร์ตสุดหรูแบบนี้ได้น่ะค่ะ) ซึ่งชายคนนั้นก็ตอบว่า เขาทำงานเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (Stock Broker)

เเล้ว หลังจากนั้น คริสจึงได้พยายามเข้าไปสมัครโครงการฝึกงานกับบริษัท broker ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการที่ให้ผู้สมัครทุกคนได้มาลองฝึกงานและเรียนรู้สัมผัสชีวิต broker ในช่วงระยะเวลาหนึ่งและจะมีสอบวัดผลในตอนท้าย ซึ่งการฝึกงานนี้ไม่มีค่าตอบแทนให้นะคะ ใครที่ได้คะแนนสูงสุดก็จะได้ทำงานที่บริษัทนี้ ซึ่งหมายถึง งานที่ค่าตอบแทนสูงและโอกาสได้รถสปอร์ตในฝันค่ะ

เเต่ คริสเริ่มเข้าไปฝึกงานที่นี่ ซึ่งหน้าที่หลักคือโทรหาลูกค้าและชักชวนให้ลงทุนซื้อหุ้น ยิ่งใครโทรหาลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสมากเท่านั้น ซึ่งเขาเสียเปรียบผู้สมัครคนอื่นมากมาย เนื่องจากทุก ๆ วันเขาจะมีเวลาทำงานน้อยกว่าคนอื่น เพราะต้องรีบไปรับลูกชายจากศูนย์ดูแลและมาต่อคิวแย่งกันเพื่อให้ได้โควต้าที่พักในศูนย์พักพิงฟรี (ในช่วงนี้พระเอกของเราถังแตกสุด ๆ แล้วค่ะ ไม่มีบ้านอยู่

รีวิว The Pursuit of Happiness

ต้องไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลคนไร้บ้าน และตระเวนเปลี่ยนที่พักไปทุกคืนค่ะ) โดยตั้งแต่กลางเรื่องเป็นต้นไป หนังจะฉายให้เห็นถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของพระเอก ไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องรีบมาต่อคิวแย่งที่พัก และในตอนกลางคืนก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบของ broker ไปด้วย บางคืนก็ต้องออกมาอ่านตามทางเดินในศูนย์พักพิงที่มีแสงไฟสว่างเพียงน้อยนิด เรียกได้ว่าสู้ชีวิตสุด ๆ ไปเลยค่ะ บางวันพระเอกของเราไม่มีเงินจริง ๆ ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

ก็ต้องไปบริจาคเลือดเพื่อแลกกับเงินก็มีค่ะ และหนึ่งในฉากที่แทบจะถูกยกให้เป็นจุดสะเทือนใจที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือตอนที่พระเอกไม่สามารถหาที่พักในคืนหนึ่งได้ จึงต้องหอบพาลูกชายไปนอนอยู่ในห้องน้ำสาธารณะค่ะ นอนกอดลูกชายไปพร้อมกับน้ำตาไหลสะท้อนความทุกข์ทนของชีวิตที่ต้องพบเจอ เรียกได้ว่ากระชากใจสุด ๆ เลยค่ะ

ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความพยายามและไม่ยอมแพ้ คริสก็สอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง และได้ทำงานเป็น broker ที่นี่สมใจค่ะ นับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เค้ากลายมาเป็น broker มือฉมังอย่างวันนี้เลยค่ะ ฉากประทับใจในตอนท้ายของเรื่อง เป็นฉากที่ผู้บริหารเรียกคริสเข้าไปในห้องเพื่อจะบอกประมาณว่า “พรุ่งนี้ไม่ต้องมาฝึกงานแล้วนะ” พระเอกเราก็นิ่งช็อกไปค่ะ

และทางนั้นก็พูดต่อว่า “แต่พรุ่งนี้ให้เข้ามาทำงานได้เลย” คราวนี้ฮีนิ่งไปเลยค่ะ ประโยคหนึ่งที่ชอบมากคือตอนผู้บริหารบอกกับคริสว่า “Life isn’t easy?” ประมาณว่า ชีวิตไม่ง่ายเลยเนอะ ซึ่งพระเอกก็ตอบ “Yes” พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา เหมือนกับจะถ่ายทอดว่า กว่าเขาจะมายืนถึงจุดนี้ได้ มีงาน มีเงิน มีที่อยู่แล้ว  ชีวิตเขาต้องผ่านความยากลำบากอะไรมาบ้าง และจากนี้เส้นทางชีวิตของเขาและลูกก็เริ่มมีแสงสว่างสดใสสาดทอลงมาแล้วค่ะ

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

“The Pursuit of Happiness” เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เจ็บปวดที่สุดที่ฉันเคยดู ฉันไม่ได้บอกว่ามันเป็นหนังที่แย่ แต่มันยากมากที่จะดูตัวละครหลัก เพราะชีวิตของเขายุ่งเหยิงไปหมด และคุณอยากเห็นเขาประสบความสำเร็จจริงๆ ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

แม้ว่าจะมีการตกต่ำหลายครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยคริส (วิล สมิธ) รับบทเป็นพ่อและสามีที่ต้องดิ้นรน งานพนักงานขายของเขาไม่ได้ผลเลย – และนั่นก็เป็นปัญหา เพราะหากไม่มียอดขาย เขาจะไม่สามารถรับเงินได้ ในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าภรรยาของเขาไม่มีความสุข และเกลียดชังความล้มเหลวของสามี และเธอมองว่าเขาเป็นคนล้มเหลว นอกเหนือจากนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

เขามีอุปสรรคมากมายในชีวิตจนกระทั่งในที่สุดภรรยาของเขาจากไป ตอนนี้ไม่มีเงินเดือน เขาพยายามทำงานบางอย่างเพื่อให้เขารักษาลูกชายของเขา คริสโตเฟอร์ (เจเดน สมิธ ลูกชายในชีวิตจริงของวิล) ไว้ได้ แต่ก่อนที่สิ่งต่างๆ จะดีขึ้น สิ่งต่างๆ จะแย่ลงกว่าเดิมมาก…และมันเจ็บปวดจริงๆ ที่ต้องเฝ้าดูเขาพยายามดิ้นรนเพื่อทำให้มันสำเร็จ คุณจะสนุกกับภาพยนตร์เรื่องนี้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทนกับมันได้หรือไม่ การพิจารณาว่าความเจ็บปวดจะเจ็บปวดเพียงใดและคุณชอบผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน

การเป็นงานที่น่าเบื่อมากที่จะอยู่กับมัน คริสจะเจอเรื่องแย่ๆกี่ครั้ง ก็ยังมา! แต่ในทางกลับกัน หนังก็คุ้มค่าถ้าคุณยึดติดกับมัน การแสดงของวิล สมิธยอดเยี่ยมมาก ฉันประหลาดใจมากที่เขาสามารถถ่ายทอดได้ด้วยตาของเขาเท่านั้น ฉันเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ และเนื่องจากมันสร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับคนจริงๆ มันจึงจบลงด้วยดี (โชคดี) และเป็นภาพยนตร์ที่น่าพึงพอใจมากโดยรวม

วิลล์ สมิธรับบทเป็นพนักงานขายที่ดิ้นรนซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายของเขามีชีวิตที่ดีขึ้น ตกลง ฉันจะยอมรับว่าฉันไม่ใช่แฟนตัวยงของ Will Smith แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทำงานได้ดีมากที่นี่ ฉันจะไม่พูดว่ามันสมควรได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ แต่เขาก็ยังดีมาก อันที่จริง เขาเป็นเหตุผลหลักในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะฉันรู้สึกว่าส่วนที่เหลือของหนังเรื่องนี้ไม่ลงตัว

 

รีวิว The Pursuit of Happiness

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพกระตุกบางประเภท แต่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เหล่านั้นที่ฉันเรียกว่าน้ำตาซึม ฉันไม่ชอบตัวละครที่สมิธเล่นเลยจริงๆ และที่จริงแล้ว ฉันไม่สามารถด่าได้ว่าเขาจะได้งานในฝันหรือไม่ ฉันคิดว่าตัวละครนี้ค่อนข้างมีอารมณ์รุนแรงในหลายฉาก และด้วยความสัตย์จริง

ฉันคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนงี่เง่าที่ไร้ค่า คำพูดแรง? บางที แต่อย่างที่โจพูด ทำไมเขาไม่เคยได้งานในนรกเลย? ภรรยาของเขาทำงาน 2 กะ แต่หางานจริงมาดูแลลูกชายไม่ได้? เป็นเรื่องดีที่ได้เห็น James Karen จาก The Return of the Living Dead แต่ส่วนที่เหลือของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ

คริส การ์ดเนอร์ (วิล สมิธ) เป็นพนักงานขายที่เดินทางลำบากซึ่งล้าหลังมากขึ้นเรื่อยๆ ลินดา ภรรยาของเขา (แทนดี้ นิวตัน) รู้สึกหงุดหงิดและในที่สุดก็ทิ้งเขาไป เขาได้งานเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น แต่เป็นการฝึกงานที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ในที่สุด เขาสูญเสียอพาร์ตเมนต์ของเขา

และพวกเขากลายเป็นคนไร้บ้าน เป็นหนังที่จริงจังมาก นี่ไม่ใช่หนังที่มีเสียงหัวเราะ วิลล์ สมิธกำลังเล่นเป็นตัวละครที่เข้มข้นมาก Jaden Smith ยังเด็กเกินไปที่จะเป็นอย่างอื่นนอกจากอุปกรณ์ประกอบฉาก วิลล์สามารถวาดรูปชายที่สิ้นหวังที่พยายามจะอยู่กับลูกของเขา อย่างไรก็ตามมันเป็นโน้ตตัวเดียวกับที่เล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ข่าวดีก็คือเขาเล่นโน้ตนั้นได้ดีมาก

สรุปง่าย ๆ เลย เป็นอย่างไรบ้างคะกับรีวิวเรื่อง The Pursuit of Happyness นี้ เรื่องนี้ผู้เขียนยกให้เป็นหนังอันดับ 1 ในใจเลยค่ะ ช่วงไหนที่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อก็จะหยิบมาดูใหม่ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองว่า ไม่ว่าชีวิตช่วงนี้จะยากลำบากแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ยอมล้มไปซะก่อน อนาคตจะต้องมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นแน่นอนค่ะได้ที่นี้ทีเดียว เว็บรีวิวหนัง