รีวิว The Pianist

อาจจะเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของฉันที่ได้เกิดในยุคที่ไม่มีสงครามบ่อยนัก หรือถึงมีก็ไม่ส่งผลโดยตรงกับประเทศไทยแบบสงครามโลกที่ผ่านมา ทำให้ฉันจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆว่าถ้าตอนนี้บ้านเมืองเผชิญสงคราม ฉันจะเป็นอย่างไรบ้าง จะได้เป็นวีรสตรี หรือเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆของผู้ลี้ภัยสงครามกัน สงสัยอาจจะเพราะไม่เคยเจอสงคราม ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

ทำให้เราหาหนังเกี่ยวกับสงครามมาดู แต่ขอยอมรับตามตรงว่าปกติจะไม่ดูหนังที่หดหู่มากนัก ทำใจไม่ได้ค่ะ (ฮา) แต่เนื่องจากตอนที่เราเลื่อนหน้าฟีดแอพนกสีฟ้าไปเรื่อยๆเพราะคร้านที่จะอ่านหนังสือเตรียมสอบ เราไปเจอทวิตนึงที่แนะนำหนังเรื่องนี้ เราได้เห็นรูปที่เป็นฉากนักเปียโนชาวยิว ตัวละครหลักของเรื่อง เล่นเปียโนให้ทหารชาวเยอรมันฟัง

และเมื่อได้อ่านว่าสร้างมาจากเรื่องจริง ทำให้เรากดออกจากแอพ แล้วเข้าnetflix เพื่อไปเปิดดูโดยทันทีทั้งๆที่รู้ว่ามันต้องเศร้าและหดหู่มากๆแน่  (หรือจริงๆเราแค่ขี้เกียจอ่านหนังสือก็ไม่มั่นใจนะคะ555)

The pianist หรือชื่อไทยคือ “สงคราม ความหวัง บัลลังก์เกียรติยศ” แน่นอนค่ะ เปิดเรื่องมาก็แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศที่ตกอยู่ใต้อำนาจของนาซีได้เป็นอย่างดี โดยประเทศที่ตัวเอกซึ่งเป็นนักเปียโนชาวยิวอาศัยอยู่นั้น คือประเทศโปแลนด์ ประเทศชายขอบใกล้กับประเทศเยอรมัน ทำให้ถูกกองทัพนาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์แผ่ขยายอำนาจมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ในช่วงนั้นนาซียังไม่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวยิวยังพอทำอะไรต่างๆได้บ้าง แต่ก็ถูกแบ่งแยกเป็นอีกชนชั้น อย่างเช่นในตอนที่ตัวเอกหรือ วลาเดก สปิลมัน นัดกับสาวชาวเยอรมันเพื่อออกไปเดทกัน เธอชวนสปิลมันไปร้านกาแฟ แต่กลับมีป้ายหน้าร้านว่าห้ามคนยิวเข้า เมื่อเธอจะไปสวนสาธารณะแทน ก็ไม่ได้อีกเพราะมีกฎห้ามชาวยิวนั่งเก้าอี้สาธารณะ

 

รีวิว The Pianist

 

และเมื่อสถานการณ์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชาวยิวต้องสวมปลอกแขนแสดงตัวตนว่าเป็นชาวยิว ห้ามชาวยิวมีทรัพย์สินในครอบครองเกิน 2,000 ชลอตี (ค่าเงินของโปแลนด์สมัยนั้น) จนอยู่มาวันหนึ่งก็มีประกาศให้ชาวยิวในกรุงวอร์ซอ (เมืองหลวงของโปแลนด์) ต้องย้ายมาอาศัยที่เขตอาศัยสำหรับชาวยิว ซึ่งแออัดเมื่อเทียบกับจำนวนคน รวมถึงความเป็นอยู่ที่ลำบากขึ้นมาก จนช่วงที่นาซีเริ่มจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว

ตรงนี้เป็นฉากที่เรายกให้เป็นฉากที่หดหู่มากที่สุดสำหรับเราเลยค่ะ ตอนดูต้องหลุดกรี๊ดออกมาเลย เป็นฉากที่ทหารบุกเข้าไปในแฟลตตรงข้ามกับแฟลตที่ครอบครัวสปิลมันอาศัยอยู่ตอนกลางคืน แล้วสั่งให้คนในห้องลุกขึ้น แต่ในห้องนั้นมีคนแก่นั่งรถเข็นอยู่ค่ะ

และเมื่อเขาลุกไม่ได้ ก็ถูกจับโยนลงมาจากระเบียงค่ะ TT แล้วคนอื่นก็ถูกยิงตายอยู่ดี ชาวยิวในนั้นถูกฆ่ามากขึ้นเรื่อยๆๆ หาทางต่างๆให้รอดตายก็แล้ว สุดท้ายครอบครัวรวมถึงวลาเดกก็โดนพาไปขึ้นรถไฟไปค่ายกักกันอยู่ดีค่ะ แต่ด้วยเคราะห์ดีของตัววลาเดก ทหารชาวยิวที่ไปทำงานให้กับเยอรมันคนหนึี่งที่รู้จักกับครอบครัวแอบดึงตัวให้หนีออกมาได้คนเดียวค่ะ

หลังจากนั้นวลาเดกก็ล้มลุกคลุกคลาน เอาตัวรอดอย่างสุดชีวิต จนได้คนโปแลนด์ช่วยให้ที่ซ่อนตัวรอสงครามสงบ ย้ายที่ไปมาหลายครั้งเพราะคนที่ช่วยคนแรกถูกจับได้ จนช่วงปลายๆสงครามที่รัสเซียบุกมาที่โปแลนด์ได้ หรือตอนที่ชาวโปแลนด์ก่อจราจล ด้วยเพราะเขตที่ไปซ่อนตัวเป็นเขตของชาวเยอรมัน วลาเดกก็ได้เห็นคนสู้กันตลอด ระเบิดลงบ้าง (เป็นเราคงทนไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็คงต้องเอาตัวรอดล่ะเนอะ) ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์
จนวันที่ระเบิดลงที่ที่เขาแอบพอดี และมีทหารมาเดินตรวจแถวนั้น สปิลมันก็หนีไปหาที่ซ่อนใหม่ในตึกที่ก็พังไปมากจากระเบิด จนได้มาเจอทหารเยอรมัน และเขาได้แอบช่วยไว้นี่ล่ะค่ะ ตอนจบเหมือนทหารคนท่ี่ช่วยจะไม่รอดด้วยนะคะ เสียชีวิตในค่ายเชลยของโซเวียต น่าเสียดายมากๆเลย ;_;
แต่เมื่อเราดูจบใช่มั้ยคะ เราแอบมีคำถามว่าทำไมทหารคนนั้นถึงช่วยสปิลมันนะ หวังผลให้รอดเพราะรู้ว่าจะแพ้สงครามหรือ หรือแค่ต้องการช่วยเหลือ”เพื่อนมนุษย์”ด้วยกัน ถึงแม้ในหนังทหารนาซีจะยิงชาวยิวเล่นเหมือนเป็นผักปลาไม่ใช่คนจนภาพลักษณ์ติดลบ555 จากที่เราเคยบอกใช่มั้ยคะว่าสร้างจากเรื่องจริง เราเลยไปหาข้อมูลของทหารท่านนี้มา ประทับใจจนต้องเอามาเขียนเลยค่ะ!
ทหารท่านนี้ชื่อว่า Wilm hosenfield ค่ะ ความจริงแล้วเรียกว่าทหารนาซีก็ไม่ถูกเนอะ เหมือนเขาจะเป็นหน่วย ss ของเยอรมันค่ะ(ใหญ่กว่า โหดกว่าทหารนาซีปกติ55) ตามบันทึกของเขาที่ครอบครัวHosenfieldเก็บไว้เนี่ย ในตอนแรกเขาเลื่อมใสเทิดทูนนาซีจริงๆค่ะ แต่เมื่อได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของนักโทษชาวยิวแล้ว ทำให้เขาสงสาร และมองนาซีและเยอรมนีเหมือนปีศาลแทนค่ะ
รีวิว The Pianist
เขาได้ตัดสินใจแอบช่วยเหลือชาวยิวในค่าย แอบนำอาหารไปให้เมื่อทำได้ ช่วยปล่อยตัวนักโทษที่จะถูกนำไปฆ่า รวมถึงตัววลาเดก สปิลมันด้วย จนมีชาวยิวเป็นหนี้บุญคุณมากมายเลยค่ะ ทั้งๆที่ทหารคนอื่นบังคับชาวยิวทำตามใจชอบ ไม่พอใจก็ฆ่าทิ้งได้ง่ายๆ จุดนี้ทำให้เราประทับใจมากๆเลยค่ะ ทั้งที่เสี่ยงจะโดนแทนแท้ๆ
แล้วก็น่าเสียดายมากๆด้วยที่เขาไม่รอดชีวิตจริงๆค่ะ ในตอนที่เขาใกล้เสียชีวิตมีชาวยิวที่ถูกเขาช่วยไว้รวมถึงสปิลมันไปขอให้ปล่อยตัวด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ สำหรับเรา อย่างน้อยเขาก็แสดงให้เห็นว่าเขามีมนุษยธรรมและศีลธรรมหลงเหลืออยู่ ถ้าไม่มีเขาก็อาจจะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากสงครามเพิ่มขึ้นอีกก็ได้

วลาดิซสลาฟ สปิลมัน นักเปียโนชาวโปแลนด์ เชื้อสายยิว ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งมีบ้านและครอบครัวที่แสนอบอุ่น แต่เมื่อโลกเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ชีวิตของเขากลับต้องพลิกผันเป็นอย่างมาก เพราะทหารเยอรมัน หรือกลุ่มนาซี ได้บุกเข้ายึดประเทศโปแลนด์ และทำการกดขี่ชาวยิวจากพฤติกรรมต่างๆ อันโหดเหี้ยมอำมหิตที่ต้องจารึกเอาไว้บนหน้าประวัติศาสตร์

สำหรับ The Pianist เหมาะกับคนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ และเรียนรู้ความโหดร้ายจากสงครามแล้ว หนังเรื่องนี้คือตำราชั้นดี ที่พาคนดูให้ได้เห็นถึงภาพความรุนแรง ที่ชวนหดหู่ สิ้นหวัง จนพาเอาจิตตกไปกันได้ง่าย

รีวิว The Pianist

ซึ่งถ้าใครที่ไม่อยากมาดำดิ่งกับความรู้สึกเหล่านี้ ก็แนะนำให้ข้ามหนังเรื่องนี้ไปกันได้เลย เพราะหนังถ่ายทอดออกมาได้สมจริง และน่าเศร้าเป็นอย่างมาก แต่สำหรับคนที่ใจแข็งพร้อมลุย และผ่านหนังผลพวงจากสงครามอันโหดร้ายอย่าง Schindler’s List, The Boy in the Striped Pajamas มาก่อนหน้านี้แล้ว The Pianist ก็คือการยกระดับความหดหู่ไปอีกขั้นกว่า 2 เรื่องที่แนะนำกัน อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

อีกหนึ่งภาพยนตร์จากเรื่องจริงของ Wladyslaw Szpilman ที่สะท้อนความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวยิวต้องเผชิญกับสถานการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันแสนโหดเหี้ยม ผ่านการกำกับของ Roman Polanski ผู้กำกับสายหนังคุณภาพอีกคน ที่เป็นชาวโปแลนด์เหมือนกัน ซึ่งในเรื่องนี้แม้ว่าจะเป็นหนังที่เกี่ยวกับสงคราม และมีฉากหลังเป็นสงคราม

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกลับเป็นหนังที่เล่าถึงผลพวงจากสงครามที่ส่งผลกระทบต่อคนๆ หนึ่ง หรือผลกระทบต่อคนกลุ่มหนึ่งต่างหาก ด้วยการเล่าเรื่องราวที่เกาะไปกับตัวละครเอกตั้งแต่เริ่มเรื่องที่มีชีวิตปกติสุข ไปสู่สถานการณ์ที่ค่อยๆ เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นชวนหดหู่ไปกับเรื่องราว

ในเฉพาะในช่วงกลางๆ ไปจนถึงท้ายๆ เรื่องนั้น มีหลายเหตุการณ์ในหนังมากที่ทำเอาคุณดูต้องจุกจนน้ำตาไหล ไม่เพียงแค่เฉพาะชะตากรรมอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงชาวยิวรอบๆ

ข้างที่หนังทำให้เห็นว่าชีวิตพวกเขาก็พินาศไม่แพ้กัน เพียงเพราะเขาเกิดมาเป็นชาวยิวเท่านั้น หนังเต็มไปด้วยเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ชวนบีบหัวใจมากมาย และเส้นทางของชีวิตชาวยิวในเรื่องก็ดูช่างไร้ความหวัง

และหนทางในการที่จะกลับไปมีชีวิตปกติ ซึ่งการเล่าเรื่องของชาวยิวที่แอบลักลอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ก็เป็นมุมที่เราไม่ค่อยเห็นนักในหนังสงครามประเภทนี้ เพราะส่วนมากเราจะเห็นการไปลงเอยของพวกเขา ที่ค่ายกักกันเสียมากกว่า

 

รีวิว The Pianist

 

ซึ่ง Roman Polanski ก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้มาอย่างเต็มเหนี่ยวไร้ซึ่งการประนีประนอม แต่ท่ามกลางภาพความรุนแรงทั้งหลาย แต่ฉากที่เจ็บปวดใจที่สุดกลับเป็นฉากที่ตัวละครเอกอย่าง Szpilman นั้น อยากจะเล่นเปียโนที่อยู่ต่อหน้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะกลัวว่าเสียงจะดังไปถึงหูทหารเยอรมัน ทั้งๆ ที่ดนตรีคือภาษาสากลที่ไม่ทำร้ายใคร

แต่หากเขาเลือกเล่นไปมันอาจทำให้เขาเสียชีวิตได้ มันจึงเป็นสิ่งสะท้อนได้เลยว่าภายใต้การปกครองของพวกนาซีนั้น แม้แต่กิจกรรม หรือสิทธิพื้นฐานที่ไม่สามารถทำได้ ก็เรื่องที่่ชวนหดหู่ใจเสียเหลือเกิน นับเป็นอีกหนังผลพวงจากสงครามที่ถ่ายทอดความโหดร้ายได้เป็นอย่างมากจนคุณอาจจะไม่มีวันลืมมันไปได้เลย

สุดท้ายนี้เราต้องขอชื่นชมนักแสดงทุกคนด้วยค่ะ แสดงได้สมบทบาทจนเราอินเลย

โดยเฉพาะตัวหลัก Adrien brody ที่แสดงเป็นวลาเดก สปิลมัน แสดงได้ดีมากเลย ตอนป่วยก็ป่วย จีบสาวเราก็เขิน ร้องไห้เราก็น้ำตาซึมตาม ตอนเอาตัวรอดก็ทำเอาลุ้นไปด้วย กับอีกความชอบส่วนตัวคือจมูกของเอเดรียนค่ะ555 (เราดูไปจ้องจมูกไปเพราะเราไม่มีดั้ง T-T)

รวมถึงซีจีหรืออะไรต่างๆ เพราะจากปีที่ฉายนั้น เราว่ามันสมจริงมากๆแล้ว หลังจากดูจบและถ้ารอดจากการสอบซัมเมทีฟ (กลางภาค) เรามีแผนว่าจะดูเรื่อง The boy with striped pajamas ,schindler’s listต่อดัวยค่ะ!

ถ้าได้ดูเราจะมาเขียนในนี้อีกนะคะถ้าไม่ขี้เกียจ เจอกันใหม่บทความต่อไปนะคะ! ขอบคุณที่อ่านมาจบจบค่ะ เราลองเขียนครั้งแรกอาจจะไม่ลื่นเท่าไหร่ ขออภัยดัวยนะคะ รักทุกคน สวัสดีค่ะ

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

THE PIANIST เป็นภาพยนตร์ที่ใช้เนื้อหาที่มืดมนและน่าสับสน – การกดขี่ข่มเหงชาวยิววอร์ซอโดยพวกนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง – และเปลี่ยนให้เป็นการเดินทางที่น่าหลงใหลและน่าหลงใหลของภาพยนตร์ Roman Polanski สามารถสร้างความมึนเมาและซาบซึ้งได้ง่ายๆ เหมือนกับ SCHINDLER’S LIST ของสปีลเบิร์ก แต่เขาโชคดีที่หลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจนั้น และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือภาพยนตร์ของทั้งสองเรื่องที่ดีขึ้นมาก ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบด้วยความสมจริงแบบสารคดีในการพรรณนาถึงความโหดร้ายต่างๆ ที่ดำเนินการโดยชาวเยอรมันผู้ไม่ใส่ใจ มันมืดและมืดลงเรื่อย ๆ แต่ผู้ชมก็ไม่สามารถละสายตาจากหน้าจอได้เพราะทุกอย่างตระหนักดีและสมจริง

Adrien Brody เล่นเป็นนัยน์ตาและหูของผู้ชมด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง แต่ให้การแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดของเขาด้วย เรื่องราวเต็มไปด้วยความมืดมิดและความรุนแรง แต่ฝีมือกล้องของ Polanski และรูปแบบที่ไม่รู้จบหยุดเรื่องราวที่ตกต่ำลง แต่มีความตึงเครียดมากพอที่จะทำให้คุณมีส่วนร่วมและต้องการทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป สิ่งต่าง ๆ สร้างจุดสุดยอดที่น่าสัมผัสและฉุนเฉียวที่ไม่ทำให้ผิดหวัง

มันคือปี 1939 วอร์ซอ Wladyslaw Szpilman (Adrien Brody) เป็นชาวยิวและนักเปียโนทางวิทยุ เขาตกหลุมรักโดโรต้าสาวชาวโปแลนด์ ชาวเยอรมันบุกเข้ามา และครอบครัว Szpilman คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ในสงครามอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพวกเขาค่อยๆ เสื่อมโทรมลงเมื่อรัฐบาลออกคำสั่งบังคับให้พวกเขาเข้าไปในสลัมของชาวยิว

อิตซัค เฮลเลอร์พยายามจ้างวลาดและเฮนริกน้องชายของเขาให้เข้าเป็นตำรวจชาวยิว แต่พวกเขาปฏิเสธ ขณะที่ครอบครัวของเขาถูกนำขึ้นรถไฟ วลาดถูกอิตซัคดึงออกมา Wlad เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านและลักลอบนำเข้าวัสดุ เขาย่องออกไปและพบเพื่อนที่ช่วยซ่อนเขา เขาเห็นชาวเยอรมันต่อสู้กันทางสลัมจากที่ซ่อนของเขา เขาได้รับความช่วยเหลือจากโดโรต้าซึ่งตอนนี้แต่งงานและตั้งครรภ์ จากที่ซ่อนของเขา เขาได้เห็นจุดเริ่มต้นของการจลาจลในวอร์ซอ

Roman Polanski แสดงภาพผู้รอดชีวิตจากความหายนะ เขาอยู่เฉยๆนานเกินไปจนถูกผลัก เขาดำรงอยู่ได้เพราะความเมตตาของผู้อื่น เขาไม่ได้ต่อสู้เพราะไม่มีจุดยืนทางศีลธรรมแต่ขาดความกล้าหาญเชิงรุก เป็นลักษณะที่ค่อนข้างไม่ใส่ใจแม้ว่าฉันจะสามารถเห็นมุมมองของ Polanski ได้ อีกแง่มุมที่น่ารำคาญคือความประหลาดใจและปฏิกิริยาตอบสนองของเขาต่อความไร้มนุษยธรรมที่น่าตกใจอย่างต่อเนื่อง

สิ่งนี้ไม่ทำให้เขาสมจริงน้อยลง ในหลาย ๆ ด้าน เขาเป็นตัวละครที่เป็นมนุษย์และไม่มีข้อบกพร่องในทางที่ชั่วร้าย ไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่ง่ายหรือน่าดึงดูด โลกถูกสร้างขึ้นมาอย่างดี ฉากที่น่าสนใจที่สุดคือตอนที่ครอบครัวรออยู่กลางแดดเพื่อรอรถไฟ รถไฟมีขึ้นทุกครั้ง แต่การรอด้วยปากกาจับนั้นผิดปกติมากกว่า นี่เป็นหนัง Holocaust ที่ยอดเยี่ยม แต่ตัวเอกไม่น่าดึงดูดนัก หากชื่นชอบการรีวิวของเรา สามารถติดตามการรีวิวของเราได้ที่นี่  เว็บรีวิวหนัง