รีวิว Rush

 นี่คืองานคืนฟอร์มของผู้กำกับฯ รอน โฮเวิร์ด อย่างสวยงาม หลังจากเป๋ๆไปกับงานยุคหลังสองเรื่องติด (แกนึกยังไงลุกมาทำหนังตลกห่วยๆอย่าง The Dilemma คือมึงแป้กมาก…) เอาเป็นว่าแกกลับมายืนแถวหน้าเจ้าพ่อหนังบิ๊วอารมณ์ แถมนมพลุกพล่านอีกต่างหากใน เรื่องนี้ดูได้ที่ ดูหนัง
นึกไม่ออกว่าเคยมีหนังเรื่องไหนมั๊ยที่ให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครที่เป็นคู่ปรับคู่แค้นกันในแบบ รักพี่เสียดายน้อง คือรักทั้งสองตัว เอาใจช่วยทั้งสองตัว
Rush หนังแข่งรถสูตร 1 ที่จัดได้ว่าเป็นหนังแข่งรถคุณภาพดีที่ไม่ควรพลาด หนังมีเรื่องราวที่น่าประทับใจ มันส์ เข้มข้น เฉือนกันไปมาระหว่างนักแข่งรถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคน James Hunt และ Niki Lauda ซึ่งสำหรับผมแล้วตอนนี้ก็ยกให้ เป็นหนังแข่งรถที่ดีที่สุดที่ผมเคยดูมา จะมีแนวแข่งกันอีกเรื่องหนึ่งที่ดีก็ Seabiscuit (2003) แต่เปลี่ยนเป็นแข่งม้าแทน
Rush เข้าชิงลูกโลกทองคำ 2 รางวัลในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ดราม่า) และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
Rush (2013) ได้รับการกำกับโดย Ron Howard ผู้กำกับหนังชั้นเยี่ยมอย่าง A Beautiful Mind (2001) และ Apollo 13 (1995) และเขียนบทโดย Peter Morgan    Rush สร้างมาจากเรื่องจริง มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการแข่งกันชิงตำแหน่งเจ้าโลก Formula 1 ของ James Hunt และ Niki Lauda สองนักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ทั้งสองห้ำห่ำกันทุกวิถีทาง เพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลก (รีวิวมีการเปิดเผยเนื้อหาเรื่อง แล้วก็ยาวหน่อยนะครับ)
Rush มีสไตล์ออกเป็นทางหนังแอ็คชัน – ดราม่า แข่งขันกัน เฉือนกัน หนังมีบทเรื่องที่ดีและสร้างความแตกต่างได้จากเรื่องอื่น ถึงแม้ว่าจะดำเนินเนื้อเรื่องไปตามสูตรหนังบ้าง ที่สำคัญคือ หนังเล่นที่อารมณ์คนได้ถูกจุด หนังแสดงภาพการเฉือนกันไปมาระหว่าง 2 นักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งสองมีปรัชญาการแข่งรถที่แตกต่างกัน

 James Hunt เน้นใช้สัญชาตญาณทำให้เป็นอัจฉริยะในการแข่งขัน ส่วน Niki Lauda เป็นแนว Perfectionism ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ ใช้สมองคำนวณทุกๆอย่าง รวมทั้งฝึกฝนอย่างขะมักเขม้นเสมอ ทำให้ทั้งคู่ดูเป็นศัตรูที่มีปรัชญาการแข่งที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจน จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นสไตล์นิสัยตรงกันข้ามในทุกอย่างของทั้งคู่ แถมยังไม่ชอบหน้ากันอย่างรุนแรง (แต่เรื่องจริงไม่รู้นะว่าเกลียดกันขนาดนี้เปล่า)

นิกิคิดแบบอัจริยะ Perfectionist ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ เกลียดความสุขสบาย ต้องการเพียงความสำเร็จเท่านั้น ทำให้เขาค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ย่ำแย่ ส่วนเจมส์อัจริยะจากสัญชาตญาณ วินัยในตัวเองสู้นิกิไม่ได้ อาศัยความเก่งแบบพรสวรรค์เข้าช่วย เป็นคนที่บ้ากล้าเสี่ยงตัวเองเสมอ นิสัยออกแนวเป็นกันเอง สนิทกับคนง่าย มีความเป็นซูเปอร์สตาร์ ทำให้มีคนเป็นแฟนคลับมากมาย

รีวิว Rush
ต้องขอปรบมือให้รอน โฮเวิร์ด ที่สามารถจัดวางคิวโชว์ออฟให้ตัวละครทั้งสองตัวได้ใจคนดูคนละช่วงเวลากัน แบบตอนแรกชอบ เจมส์ ฮันท์ แต่ไม่ค่อยชอบ นิกี้ เลาด้า พอกลางเรื่องกลับทำให้คนดูเทใจให้ เลาด้า แต่ก็ระอาใจกับเจมส์ ฮันท์ ….แล้วไปขมวดรวมให้คนดูรักและเอาใจช่วยทั้งสองพร้อมกันในตอนท้ายเรื่อง
ซึ่งทำยากนะครับสำหรับหนังกีฬาสักเรื่อง เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วหนังแนวๆนี้จะทำให้เราเอาใจช่วยพระเอกหรือไม่ก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเลย ที่พอๆนึกได้ก็มีหนังนักมวยพี่น้องต่อยกันอย่าง Warrior ที่ทำให้คนดูเอาใจช่วยคู่แข่งทั้งสองฝ่าย ให้อารมณ์ประมาณเดียวกัน แต่ที่ทำให้ Rush ดูพลุ้งพล่านและชัดเจนกว่าจนคนดูทึ่งก็เพราะหนังมันสร้างขึ้นมาจากเรื่องจริง
มีความเข้มข้นหลายอย่างที่หนังใส่เข้ามาอย่างกลมกล่อมอร่อยหูอร่อยตา จัดหนักทั้งในด้านดราม่า และ ฉากแข่งรถที่มาในแบบผลัดกันดีผลัดกันเด่น ขับเคี่ยวกันอย่างไม่มีใครยอมใครประหนึ่งรัฐบาลจริงกับรัฐบาลเงาของบางประเทศในแถบนี้
เจมส์ ฮั้นท์ หนุ่มเพลย์บอยที่ดูครั้งแรกก็ทำให้คนดูตกหลุมรักทันที ด้วยภาษีดีกรีหน้าตาและผลงานที่ผ่านมาที่ คริส แฮมเวิร์ท มีเต็มตัวอยู่แล้ว เลยส่งให้บทของเขามีสเน่ห์ขึ้นไปอีกเท่าตัว เป็นนักแข่งบ้าระห่ำที่หาความสุขใส่ตัวมากๆเข้าไว้ ซึ่งต่างจาก นิกี้ เลาด้า คู่ปรับของเขาอย่างสิ้นเชิง เหล้า ผู้หญิง ปาร์ตี้
และเมินการซักซ้อม มีเพียงความบ้าระห่ำกับพรสวรรค์ ซึ่งทำให้เขาเป็นนักแข่งที่ไม่มีใครเทียบได้ *** แอบสังเกตุพฤติกรรมหนึ่งที่บอกว่า เจมส์ ฮันท์ มักอ้วกก่อนแข่งเพราะความกดดัน ในฐานะคอเหล้า ผมมองยังไงๆมันก็คืออาการเมาค้าง 5555 ตัวละคร แล้วอีกอย่างที่คิดเล่นๆก็คือ หากเขาทำตัวมีวินัยไม่เสเพลขนาดนี้ และตั้งใจซักซ้อม ผมว่า นิกี้ เลาด้า สู้เขาไม่ได้ชัวร์!!!
นิกี้ เลาด้า คือตัวแทนของความทะเยอทะยาน จริงจัง เขาทิ้งธุรกิจอันมั่งคั่งของครอบครัวแล้วหันมาเป็นนักแข่งสูตรสาม ไต่เต้าโดยใช้เงินยัดทีมแข่งยักษ์ใหญ่ เพื่อที่เขาจะได้เข้าสู่เส้นทางการแข่งรถสูตรหนึ่งและเป็นแชมป์ให้ได้เร็วที่สุด หากเขาไม่ใช่ตัวจริงของจริง อนาคตของเขาก็คงดับวูบ แต่บังเอิญว่า

รีวิว Rush

เขาคือของจริงนี่สิ เขารู้เรื่องรถมากกว่าช่างมืออาชีพ และเขาดันขับรถเก่งไม่แพ้ใครอีกซะด้วย มันเลยทำให้ตัวละครตัวนี้มีความน่าสนใจจนคนดูเทใจให้หลังจากที่ก้าวสู่ครึ่งหลังของหนัง(โผล่มาทีแรกไม่ชอบหมอนี่เลย) อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี
หาก คริส แฮมเวิร์ท คือนักแสดงที่เพียบพร้อมจนคนดูปลื้ม ผมว่า แดเนียล บรูห์ คนนี้แหละที่เจ๋งกว่าแฮมเวิร์ท เพราะในขณะที่ภาษีของแฮมเวิร์ทมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งหน้าตาและเครดิตที่ผ่านมา เขาคนนี้กลับไม่มีอะไรเลย ทั้งรูปลักษณ์ ทั้งลักษณะตัวละครที่เป็นพวกขวานผ่าซาก จริงจังเกินเหตุ มั่นใจจนน่าหมั่นไส้ แต่กลับทำให้คนดูรักและเอาใจช่วยไปได้ในโค้งสุดท้ายได้ ถือว่าเป็นตัวละครที่แปลกเอามากๆ
  งานในด้านโปรดั๊กชั่นถือว่ายอดเยี่ยมกับงบประมาณแค่ 38ล้านเหรียญ จะสังเกตุได้ว่าหนังมีถ่ายมุมกว้างน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเน้นภาพโคลสอัพ ซึ่งคงประหยัดงบตัวประกอบ เอ็ฟเฟ็ค และโลเกชั่นไปเยอะ แต่นั่นหาใช่ปัญหาไม่ เพราะฉากการแข่งขันนั้น การซูมโคสอัพนี่แหละ ทำให้หัวใจคนดูแทบวาย เพราะเหมือนเข้าไปอยู่ในตัวรถจริงๆหวาดเสียวจริงๆ
หนังผ่อนคลายคนดูด้วยอารมณ์ขันเป็นระยะๆ ไม่มากจนเกินงาม ซึ่งผมชอบมาก…กับฉากรถเสียในอิตาลี ที่หนังบอกคนดูให้รู้ว่า นี่มันหนังสำหรับผู้ชายนะจ๊ะ รถย่อมสำคัญกว่าสาวๆสิ และอีกหลายๆฉากที่ใส่เข้ามาให้คนดูได้ผ่อนหูผ่อนใจจากเสียงรถเอฟวันในสนามแข่ง
เป็นงานที่พูดถึงมิตรภาพในคราบของศัตรู การเคารพให้เกียรติกันและกัน น้ำใจนักกีฬาแบบมืออาชีพที่แม้ในสนามอาจขับเคี่ยวกันแทบตายกันไปข้าง แต่ก็ไม่ได้เกลียดกันถึงขนาดไม่เผาผีกันเลยไปซะทีเดียว เพราะทุกคนต่างรู้จุดมุ่งหมายของตนเองดี
ในกีฬาที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่ออย่างการแข่งรถเอฟ1 นี้… อาจไม่เหมาะกับการมีพันธะสัมพันธ์ใดๆเลย อย่างที่เลาด้าได้ปฏิเสธมันมาตลอด แต่พอเขาตัดสินใจมีชีวิตคู่ ทุกอย่างก็เหมือนจะบังคับให้เขาไม่ดึงดันที่จะเอาชนะ เพราะการกลับบ้านไปใช้ชีวิตกับคนที่รัก กลับบ้านในขณะที่ยังมีลมหายใจ กลับบ้านในอาการครบ32 นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขายอมทิ้งแม้กระทั่งคำว่า แชมป์
ในทางกลับกันนั้น เจมส์ ฮันท์ เหมือนเขารู้ตัวว่าชีวิตของเขาสุ่มเสี่ยงและพยายามหยุดมันมาแล้วโดยการแต่งงาน แต่คนเราอุปนิสัยมันเปลี่ยนกันยาก ชีวิตแต่งงานทำให้อาชีพแข่งรถของเขาอยู่ในสภาวะเสี่ยง ตกต่ำ ซึ่งอาจเป็นโชคดีของเขาที่เลิกกับภรรยา และได้สัมผัสคำว่า แชมป์ ในท้ายที่สุด
เลยทำให้สองคนนี้ต่างกันแบบสุดขั่ว แต่นัยยะแฝงนั้นก็อย่างที่บอกจากข้างต้น หากเลือกที่จะมีชีวิตคู่ คือคุณเลือกที่จะทิ้งคำว่า แชมป์ เพราะคุณมีคนที่คอยอยู่ที่บ้าน

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

ฉันชอบ “Rush” เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ มากมาย ณ วันนี้ IMDb อยู่อันดับที่ 142 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แม้ว่าคะแนน 7.0 ของฉันจะน้อยกว่า 8.3 ในปัจจุบันเล็กน้อย แต่ฉันดีใจที่ได้เห็นภาพยนตร์เรื่องนี้ ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

ฉันรู้สึกประหลาดใจเพราะคิดว่าหนังเรื่องนี้จะเหมือนกับภาพยนตร์การแข่งขันคลาสสิกเรื่อง “Le Mans” และ “Grand Prix” ซึ่งเป็นภาพยนตร์สองเรื่องเกี่ยวกับการแข่งขัน Formula 1 ในปี 1960 อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างกันมาก ภาพยนตร์เก่าๆ เหล่านี้เน้นไปที่การขับขี่ และทั้งคู่ก็มีฝีมือกล้องที่น่าทึ่ง

นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนการดูการแข่งขันด้วยตัวคุณเอง (โดยเฉพาะ “Le Mans”) อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับพล็อตเรื่องเล็กน้อย ในทางกลับกัน “Rush” มีฉากการแข่งขันเล็กน้อย (และค่อนข้างท่วมท้นเล็กน้อย) อย่างน่าประหลาดใจ

ส่วนใหญ่เป็นเพราะนี่ไม่ใช่จุดสนใจของภาพยนตร์ แทนที่จะเป็นการศึกษาลักษณะนิสัยของผู้ขับขี่สองคนคือ Niki Lauda และ James Hunt ว่าผู้ชายมีความคล้ายคลึงกันอย่างไรและแตกต่างกันอย่างไรเป็นจุดสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้

การแสดงดีมาก หนังก็มีส่วนร่วม ฉันพูดได้มากกว่านี้แต่บอกตามตรงว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายมาระยะหนึ่งแล้วและมีบทวิจารณ์มากกว่า 350 รายการแล้ว ดังนั้นฉันจะสรุปให้จบก่อน

โปรดทราบ: ฉากหลัง ‘การชนครั้งใหญ่’ นั้นยากต่อการรับชม โดยเฉพาะฉากในโรงพยาบาล ประกอบกับการใช้ภาษาที่หยาบและภาพเปลือยสั้นๆ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่คุณอาจไม่ต้องการให้บุตรหลานดู

 

รีวิว Rush

 

แม้จะไม่ใช่แฟนรถแข่ง แต่เรื่องราวของการแข่งขันระหว่าง James Hunt กับ Niki Lauda และอุบัติเหตุของ Lauda นั้นเป็นที่รู้จักกันดี และการวิจัยก็เป็นข่าวใหญ่ในยุค 70

‘Rush’ ดูเหมือนจะน่าสนใจ รอน ฮาวเวิร์ดเคยทำผลงานได้ดีมาก่อน และน้องสาวของฉันและแฟนของเธอก็ชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีความรู้เรื่องการแข่งรถและไม่เคยพบมันสักถ้วยเลย สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่น รวมถึงความกังวลว่าจะมีอคติหรือไม่และจะเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริงหรือไม่ หลังจากดู ‘Rush’ แล้ว ผู้ชมคนนี้ดีใจมากที่เธอให้โอกาส เพราะมันเป็นภาพยนตร์ที่ดึงดูดและให้ความบันเทิงตั้งแต่ต้นจนจบ และเป็นงานที่ดีที่สุดของ Howard ได้ค่อนข้างง่ายในบางครั้ง

การเว้นจังหวะที่เร่งรีบเป็นครั้งคราวและบทสนทนาที่อ่อนบาง ซึ่งขาดความลื่น ฟังดูเคอะเขินและดูเหมือนนิ้วโป้งเจ็บกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำในระดับมืออาชีพเช่นนี้ เป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวของภาพยนตร์โดยรวมที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในปี 2013 ช่วงเวลามีภาพที่ชวนให้นึกถึงมาก มีความรู้สึกของเวลาและสถานที่จริง ๆ มีสีสดใสที่ยอดเยี่ยมตลอด การตัดต่อนั้นลื่นไหล ฉลาด ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

และให้ฉากการแข่งขันตื่นเต้นที่พวกเขาต้องการ และการถ่ายภาพก็เนียนเฉียบเช่นเดียวกันและชอบ ผู้กำกับภาพเป็นส่วนหนึ่งของฉากแอ็คชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีในลำดับการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมของญี่ปุ่น คะแนนของ Hans Zimmer ไม่ใช่งานที่ดีที่สุดของเขาเลย แต่ก็เข้ากันได้ดีกับธีมการแข่งรถและจับภาพช่วงเวลากลางทศวรรษที่ 70 และบรรยากาศของกีฬาได้อย่างยอดเยี่ยม (การแข่งขันรอบสุดท้ายในญี่ปุ่นโดดเด่นอีกครั้ง) . เอฟเฟกต์เสียงยังช่วยให้มีความสมจริงอย่างแท้จริง

สำหรับภาพยนตร์เกี่ยวกับการแข่งรถ เราต้องพูดถึงว่า ‘Rush’ จัดการกับลำดับการแข่งอย่างไร ข่าวดีก็คือพวกเขาน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งและเก็บหนึ่งไว้ที่ขอบของพวกเขาในขณะที่พวกเขาทั้งหมดทำอย่างยอดเยี่ยมแสดงให้เห็นว่ากีฬานั้นมีเสน่ห์และอันตรายเพียงใด (ภาพยนตร์กีฬาไม่กี่เรื่องที่ฉันเคยเห็นมีการบันทึกอย่างถูกต้องและครบถ้วน สปิริตของกีฬาที่แสดงให้เห็นในแบบที่ Rush ทำ)

ไฮไลท์อยู่ที่การแข่งขันระดับสุดยอดของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งทำให้ดีอกดีใจและเคลื่อนไหวได้ ฮาวเวิร์ดไม่เพียงแต่แสดงภาพช่วงกลางทศวรรษที่ 70 ราวกับว่าผู้ชมได้ย้อนเวลากลับไปและเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลานั้น (นั่นคือบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึง) และนำรูปแบบภาพที่ไม่เคยดูถูกมาก่อน และอย่างที่บอกว่าผู้ถ่ายทำภาพยนตร์มีส่วนร่วมด้วย การกระทำ แต่เขาแสดงที่นี่ว่าเขารู้วิธีเล่าเรื่อง การเล่าเรื่องนั้นน่าสนใจ ให้แง่คิด ให้ความรู้ และน่าตื่นเต้นอยู่เสมอ โดยส่งผลกระทบทางอารมณ์อย่างน่าประหลาดใจ พบว่าตัวเองเข้ากับเลาด้าจริงๆ

 

รีวิว Rush

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง การแข่งขันระหว่าง Hunt และ Lauda นั้นมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและแสดงความเคารพและมิติมากมายที่นี่ Neirher Hunt หรือ Lauda เป็นมิติเดียวที่นี่และแม้ว่า Lauda จะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจมากกว่าสองคน

แต่ก็ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นอกจากนี้ยังดำเนินไปอย่างแน่นหนาและมั่นใจไม่จมปลักอยู่กับเรื่องราวย้อนหลังมากเกินไป ละครมากเกินไป อารมณ์อ่อนไหวหรือศัพท์แสงทางเทคนิคมากเกินไป (ที่อาจจะอยู่ในหัวของผู้ชมครั้งแรกหรือไม่ใช่แฟน ๆ ของวงการกีฬา)

การแสดงสนับสนุนทั้งหมดทำได้ดี แม้ว่าบางงานจะไม่มีอะไรให้ทำมากนัก โดย Olivia Wilde และ Christian McKay แข็งแกร่งที่สุด

อย่างไรก็ตาม นักแสดงนำสองคนนั้นใช้นักแสดง ‘Rush’ อย่างชาญฉลาด ทั้งคู่เกือบจะสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้ Daniel Brühl ให้ Niki Lauda มีความเข้มข้นและความฉุนเฉียวอย่างแท้จริง ทำให้มันง่ายมากที่จะรู้สึกเสียใจกับเขา ในขณะที่ Chris Hemsworth พูดเกินจริงก็ไม่เคยดีไปกว่านี้ในฐานะ Hunt

โดยรวมแล้วเป็นหนังที่น่าจับตาและให้ความบันเทิงอย่างมหาศาล มีความไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีหลายสิ่งที่ ‘Rush’ ทำถูกต้อง 9/10 เบธานี ค็อกซ์ หากชื่นชอบการรีวิวของเรา สามารถติดตามการรีวิวของเราได้ที่นี่  เว็บรีวิวหนัง