รีวิว Race

เราเป็นคนหนึ่งที่ เห็นโปสเตอร์ Race ต้องกล้าวิ่ง แล้วก็ปล่อยผ่าน หนังดูเฉยๆ ไม่มีนักแสดงแม่เหล็ก แถมเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแข่งวิ่ง ดูแล้วไม่น่าจะอินได้เลย แต่เราบังเอิญได้ดูเทรลเลอร์ Race ตอนไปดูหนังเรื่องอื่นในโรง เลยรู้ว่า เฮ้ย! จริงๆ มันน่าสนใจนะ ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

เพราะเป็นเรื่องจริงของนักกรีฑาผิวสีผู้ได้เหรียญทองจากโอลิมปิกส์ถึง 4 รายการ แถมจุดที่น่าสนใจคือเขาไปชนะถึงถิ่นพรรคนาซีที่เหยียดเชื้อชาติยิ่งกว่าอะไร เรื่องฟังดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนใช่ไหม ไม่เป็นไร ผูกเชือกรองเท้าและยืดเส้นยืดสายให้พร้อม แล้ววิ่งตามมาอ่าน 5 ข้อที่จะทำให้คุณเข้าใจ Race มากขึ้น!

เพราะ สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่เคลียร์ตั้งแต่แรก คือ นักวิ่งจะเกี่ยวอะไรกับการเอาชนะฮิตเลอร์? ตามอุดมคติแล้ว การเมืองและกีฬาเป็น 2 สิ่งที่ควรอยู่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง แต่แน่นอนว่าชีวิตจริงวุ่นวายกว่านั้น

เพราะในปี 1936 ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเยอรมันตั้งใจใช้การแข่งขันโอลิมปิกส์ฤดูร้อนปี 1936 ณ กรุงเบอร์ลิน เป็นเครื่องมือในการแสดงอำนาจและแสดงความเหนือกว่าของชนเผ่าอารยัน (ฝรั่งผิวขาวเชื้อชาติเยอรมัน)

แต่กลายเป็นว่าเจสซี่ โอเวนส์ (รับบทโดย Stephen James) นักกรีฑาชาวแอฟริกัน-อเมริกันสามารถไปคว้า 4 เหรียญทองและแสดงให้ผู้นำหนวดจิ๋มได้รู้ว่าเขาคิดผิด!

 

รีวิว Race

 

เหมือนภาพยนตร์ ที่เกี่ยวกับนักกีฬาหลายๆ เรื่อง เราได้เห็นเทคนิคการซ้อมอันเป็นเอกลักษณ์ของสไนเดอร์ที่ช่วยให้ความสามารถของเจสซี่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่ง

เพราะพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวคงไม่ช่วยให้เขาคว้าชัยชนะ 4 เหรียญทองนั้นมาได้หรอก แน่นอนว่าต้องมีพรแสวงด้วย และคนที่เป็นดั่งลมใต้ปีกของเขาก็คือโค้ชแลร์รี่ สไนเดอร์ (รับบทโดย Jason Sudeikis) แต่น่าเสียดายที่เนื้อเรื่องตรงนี้ออกจะราบเรียบ ไม่ว่าเจสซี่จะทำอะไร

ก็ทำได้ดีไปหมด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดและอาจจะตรงกับเรื่องจริงก็ได้ แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันทำให้หนังเป็นที่น่าจดจำน้อยลงในฐานะหนังกีฬา และอีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดายคือหนังไม่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ของเจสซี่และโค้ชเท่าไหร่นัก แม้จะมีฉากปรึกษาหารือปัญหาชีวิตบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้มข้นถึงจุดพีคอะไรขนาดนั้น

เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เราคิดว่าน่าสนใจมาก เมื่อการแข่งขันโอลิมปิกส์ใกล้เข้ามา ชุมชนคนผิวดำเรียกร้องให้เจสซี่ปฏิเสธการเข้าร่วมเพื่อแสดงจุดยืนในฐานะชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ชนชาติที่ฮิตเลอร์บอกว่าต่ำต้อยยิ่งกว่ามนุษย์ เจสซี่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการยืนหยัดร่วมกับชุมชนคนผิวดำกับความใฝ่ฝันของตัวเอง

เราว่าตรงจุดนี้หนังทำได้ไม่ดีนัก แทนที่จะค่อยๆ บิวท์ให้เราเห็นความสับสนของเจสซี่ หนังกลับรีบเล่าจนเสียจังหวะ ตัดฉับไปฉับมา 2-3 ฉากเจสซี่ก็กลับมามุ่งมั่นว่าจะไปแข่งให้ได้ ฉากที่โค้ชสไนเดอร์จะไปเกลี้ยกล่อมให้ไปก็สั้นจนไม่แน่ใจว่าโค้ชมีส่วนในการตัดสินใจของเจสซี่จริงๆ หรือเปล่า (ขนาดรีบแล้วยังยาว 2 ชั่วโมงกว่าแหนะ)  ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อไปถึงเบอร์ลิน หนังคืนฟอร์มกลับมาเล่าเรื่องได้ดีขึ้น เราชอบฉากที่เจสซี่เดินออกมาจากใต้สนามกีฬา กล้องแพนให้เห็นฝูงชนจำนวนมากที่รายล้อม (แม้จะดูเป็นซีจี้ซีจีแบบไม่พยายามทำให้เนียนกว่านี้

แต่ก็หยวนๆ แหละ) เราเห็นความรู้สึกตื่นเต้น เครียด กังวลของเจสซี่ฉายชัดออกมาผ่านการแสดงของ Stephen James แม้เจสซี่จะตัดสินใจเลือกทำตามความฝันของตัวเอง

แต่เขาก็แบกความคาดหวังของส่วนรวมมาด้วยในแง่ที่ว่าเขาต้องเอาชนะนักกีฬาเยอรมันให้ได้ ต้องคว้าเหรียญทองไปตอกหน้าฮิตเลอร์ให้ได้ว่าคนผิวดำที่พรรคนาซีเกลียดนักหนา จริงๆ แล้วเก่งกาจแค่ไหน และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจสซี่ทำได้สำเร็จ แถมสร้างสถิติใหม่ของโลกได้อีกต่างหาก!

มีฉากหนึ่งที่เจสซี่พูดคุยกับลูซ ลอง นักกีฬาดาวรุ่งชาวเยอรมันที่เจสซี่เพิ่งเอาชนะจากการแข่งขันกระโดดไกล ลูซระบายความอัดอั้นที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคนาซีที่เหยียดชาวยิวราวกับเป็นผักปลา เขาบอกเจสซี่ว่า ดีแล้วที่นายอยู่อเมริกา เจสซี่มองหน้าเพื่อนใหม่แล้วบอกว่า ฉันไม่แน่ใจว่าอเมริกากับเยอรมนีแตกต่างกันจริงหรือเปล่า

 

รีวิว Race

 

ตลอดทั้งเรื่อง เราได้เห็นความจริงว่าเจสซี่และเพื่อนผิวดำถูกเหยียดและถูกเลือกปฏิบัติ ขึ้นรถประจำทางยังต้องนั่งด้านหลังที่เป็นโซนของคนผิวสีโดยเฉพาะ ตอนที่เจสซี่ลงแข่งวิ่งครั้งแรก ก็มีผู้หญิงผิวขาวตะโกนเรียกเขาว่า “นิโกร”

แม้กระทั่งตอนที่เจสซี่เดินทางกลับอเมริกาในฐานะนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกส์ไปแล้ว เขายังต้องเข้าโรงแรมด้วยประตูคนงานเพื่อไปงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อฉลองความสำเร็จให้กับเขาแท้ๆ เราชอบที่หนังไม่เลียก้นอเมริกา และได้เห็นความ “มือถือสาก ปากถือศีล” ของลุงแซมอย่างชัดเจน ไปวิจารณ์พรรคนาซีว่าทำอย่างนั้นกับชาวยิวไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เหยียดคนผิวดำไม่ต่างกัน!

รีวิว Race

แม้หนังจะจั่วหัวว่าสร้างจากเรื่องจริง แต่อย่าลืมว่าแค่มีการเขียนบทก็เท่ากับมีการปรุงแต่งเรื่องแล้ว เราได้เห็นเฉพาะชีวิตด้านที่รุ่งโรจน์ของเจสซี่ แต่รู้ไหมว่าหลังจากโอลิมปิกส์ปี 1936 ชีวิตนักกีฬาของเจสซี่ดิ่งลงเหว รวมทั้งชีวิตด้านอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน (ถ้าสนใจไปลองเสิร์ชอ่านดูได้) แต่ประเด็นเจสซี่ยังพอเข้าใจได้ อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

ว่าหนังคงต้องการยกย่องและจดจำเขาในฐานะนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เราว่าจุดที่หนังทำพลาดที่สุดคือการเลือกนำเสนอ Leni Riefenstahl ผู้กำกับสาวผู้บันทึกภาพการแข่งขันโอลิมปิกส์ครั้งนั้นเป็นหนังสารคดีชื่อ Olympia ในด้านดีเพียงอย่างเดียว เพราะถึงแม้หนังของเธอจะสวยงาม แต่ความจริงแล้วก็เป็น propaganda ของพรรคนาซีดีๆ นี่เอง

โดยรวมแล้วเราว่าหนังดีเพราะประเด็นหลักดี แต่การเลือกหยิบจับประเด็นรองอื่นๆ มาพูดถึงอาจจะยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง บางเรื่องก็พูดถึงไม่ครบด้าน บางเรื่องก็เล่ามากไป บางเรื่องก็เล่าน้อยไป แต่หนังก็ยังมีความดูสนุกอยู่

ถึงแม้เราจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงเจสซี่ก็ชนะ แต่เราก็ร่วมลุ้นทุกครั้งที่เจสซี่ออกวิ่ง (ต้องให้เครดิตเสียงเพลงประกอบสุดเร้าใจ) ดังนั้น Race จึงเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ดูได้แบบไม่เสียดายเงินเสียดายเวลาแต่อย่างใด

 

รีวิว Race

 

ให้ 7.5/10 หนังดราม่าที่สร้างมาจากเรื่องจริงของ Jesse Owens นักกรีฑาผิวสี ที่อเมริกาส่งไปเป็นตัวแทนเข้าร่วมโอลิปิกที่เยอรมันในปี 1936 ช่วงเวลาก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยที่ฮิตเลอร์ขึ้นเป็นผู้นำประเทศและกำลังทยอยจับชาวยิวเข้าค่ายกักกัน ซึ่งในขณะเดียวกันตัวอเมริกาเองก็ยังมีการแบ่งแยกสีผิวกันอยู่เลย

หนังมีการ Casting ที่ดีมาก นักแสดงดีและเหมาสมกับบท ดูเรื่องราวเนื้อหาในหนังไปก็ทำให้นึกถึง ยูเซน โบลต์ นักวิ่งชาวเจเมกาที่มีช่วงนึงดังมากๆ เพราะเขาเป็นเจ้าของสถิติโลก แถมได้ไปแข่งโอลิปิกที่เยอรมันเหมือนกันในปี 2009

แม้จะเป็นหนังชีวประวัติและเนื้อหาอาจจะดูเครียดไปนิด แต่จริงๆมันคือหนังที่เล่าเรื่องราวตามจังหวะของหนังทั่วไปเลย ไม่ใช่แนวสารคดีหรืออะไร ซึ่งจะว่าไปแล้วมันคือหนังที่สนุกและดีไปจนถึงมีคุณค่าเลยหละ ที่สำคัญคือส่วนตัวเห็นว่า Race มีประเด็นที่อ่อนไหว ละเอียดอ่อน และน่าสนใจมากๆ แถมยังรวมเหตุการณ์

สำคัญๆทางประวัติโลกไว้ด้วยกัน โดยที่ไม่ยัดเยียดให้คนดูเลย
ทั้งหนังยังมีการตั้งชื่อหนังที่ดีมากๆ ให้ความรู้สึกและให้ความหมายได้ดี เพราะคำว่า “Race” ในที่นี้ นอกจากจะหมายถึง การแข่งขันแล้ว มันยังมีความหมายถึง “ชนชั้น” และ “สีผิว” ซึ่งคือใจความสำคัญหลักของหนังเรื่องนี้

ที่มีประเด็นขัดแย้งกันมากมาย แต่เรื่องของเรื่องก็คือคำว่า “สิทธิมนุษยชน” นั่นเอง ที่ตัวเองในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยกันมองว่ามันค่อนนข้างหน้าเศร้านะกับหลายๆเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ทำไมคนบางคนถึงมีจิตใจคับแคบเสียเหลือเกิน

ป.ล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิด ประสบการณ์ สิ่งที่เจอหรือรู้สึกในช่วงที่ดูหนังเรื่องนั้นๆต่างกัน คะแนนของแต่ละเรื่องมาจากการเปรียบเทียบหนังใน Genre เดียวกัน จึงไม่สามารถไปเปรียบกับคะแนนเรื่องอื่นที่เป็นหนังคนละ Genre ได้ เมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

มีความซาบซึ้งสำหรับ biopics และทำมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นจริงแค่ไหน (มักจะไม่ใช่เพื่อละคร ซึ่งเป็นคำวิจารณ์ที่พบบ่อยที่สุดของพวกเขา) หลายคนก็ทำได้ดี ประพฤติตัวดี และน่าสนใจในแง่ของตนเองด้วยเจตนาที่ดี รายการโปรดส่วนตัวของฉันบางส่วนเป็นชีวประวัติ Jesse Owens เป็นคนที่น่าสนใจและมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

ทั้ง Owens และเรื่องราวของเขา ซึ่งหมายถึงชีวิตส่วนตัวของเขา วิธีที่เขามาเป็นในสิ่งที่เขาเป็น อุปสรรคที่เขาต้องเอาชนะ และสิ่งที่เป็นเช่นในตอนนั้น น่าสนใจกว่าที่แสดงใน ‘Race’ และสมควรได้รับทั้งคู่ ดีกว่า. ฉันไม่ได้บอกว่า ‘Race’ เป็นหนังที่ไม่ดี จริงๆ แล้วคิดว่ามันมีเจตนาที่ดีและมีคุณสมบัติที่ดีพอสมควร มันสามารถทำได้มากกว่านั้นกับตัวแบบ เป็นแบบธรรมดาเกินไปและควรเน้นให้มากกว่านี้

‘การแข่งขัน’ ดูดีมาก รายละเอียดของช่วงเวลานั้นสร้างขึ้นใหม่อย่างสวยงามและชวนให้นึกถึง และการแข่งขันครั้งใหญ่ (ซึ่งน่าตื่นเต้น) และทางเข้าสนามกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกนั้นยอดเยี่ยมและถ่ายทำอย่างชาญฉลาดโดยไม่ฉูดฉาดเกินไปจึงไม่ทำให้มากเกินไป CGI นั้นไม่ถูกและไม่โหล ไม่คิดว่าจะชัดเจนขนาดนั้น

แต่นั่นอาจเป็นแค่ฉัน โน้ตเพลงของ Rachel Portman ได้รับการบรรจงบรรเลงอย่างสวยงามอย่างไม่มีที่ติ พบว่าสไตล์การเรียบเรียงของ Portman มีความโดดเด่นและน่าฟังอยู่เสมอ ผสมผสานกับความอ่อนหวานและความเข้มข้นที่เหมาะสม

ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่าง Owens และ Luz ได้ดีที่สุด ความชื่นชมของ Luz ที่มีต่อ Owens นั้นไม่เคยน้อยไปกว่าความน่าเชื่อ และในการปฏิสัมพันธ์ที่สนุกสนานระหว่าง Owens และ Snyder จริงๆ แล้วชอบทุกอย่างกับ Avery Brundage เหมือนกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ดูว่าเขาชอบอะไรจริงๆ แต่ฉากของเขาทำให้ฉันสนใจและยังพบว่า Brundage น่าสนใจ

อีกทั้งยังช่วยให้นักแสดงมีความเข้มแข็งอีกด้วย สเตฟาน เจมส์ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในฐานะโอเวนส์ ผู้บังคับบัญชามากตลอดด้วยไฟและอารมณ์ที่เข้มข้น และเจสัน ซูเดคิสก็โดดเด่นอย่างน่าประหลาดใจในบทบาทการจากไปของเขา David Kross ก็น่าชื่นชมเช่นกัน และ Carice Van Houten ก็สนุกเหมือน Liefenstahl เทิร์นสนับสนุนที่ดีที่สุดแม้ว่าจะมาจาก Jeremy Irons แม้ว่า Brundage จะเขียนในลักษณะที่ด้อยกว่า Irons ก็ยังค่อนข้างน่ากลัวในเวลาเดียวกัน

 

 

รีวิว Race

ชื่นชมความตั้งใจดีของ ‘Race’ และมีเป้าหมายในการทำให้ Owens และเรื่องราวของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนรุ่นใหม่

ในขณะที่บอกว่านักแสดงนั้นแข็งแกร่ง แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับฉันและนั่นคือ Barnaby Metschurat เกิ๊บเบลส์ของเขาเป็นภาพล้อเลียนมากเกินไปที่จะทำให้รู้สึกหนาวสั่น ‘Race’ พยายามที่จะครอบคลุมมากเกินไปด้วยพล็อตย่อยมากเกินไป แม้จะใช้เวลานานพอสมควร ภาพยนตร์เรื่องนี้รู้สึกว่ายังไม่ได้สำรวจและค่อนข้างป่อง ปัญหาเดียวกันกับสคริปต์ การเว้นจังหวะก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เวลานานเกินไปในการดำเนินเรื่องและจากนั้นก็เร่งรีบเกินไปในตอนจบ

สำหรับความพยายามทั้งหมดของ Van Houten โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นจุดใดในฉาก Liefenstahl เมื่อไม่มีเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมพวกเขาหรือเธอถึงอยู่ที่นั่น พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นช่องว่างภายในและควรจะให้ความสำคัญน้อยลง มีปัญหามากกว่ากับโครงเรื่องของ Owens และ Ruth ที่มีการประกันตัวมากและทำให้หนังช้าลงอย่างมาก

เป็นการพรรณนาถึงการเหยียดเชื้อชาติที่ ‘การแข่งขัน’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่นได้อย่างปลอดภัยเกินไป ตอนนั้นแย่กว่าที่แสดงไว้มาก และแทนที่จะเป็นแนวทาง “พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่รุกราน” กลับควรมีความรุนแรงและเลวร้ายกว่านี้มาก ขอบไป ออกจากฉากวอลดอร์ฟได้น้อยมาก และนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดี

Owens เองก็รู้สึกว่าตัวเองด้อยพัฒนา ไม่เพียงพอกับสิ่งที่เขาเป็นเหมือนคนที่มีความโดดเด่นมากขึ้นในความสำคัญของเขาและทำไม แน่นอนว่ามีโครงเรื่องย่อยอื่นๆ มากเกินไปซึ่งทำให้เสียสมาธิมากเกินไป โดยรวมแล้วไม่ใช่หนังที่แย่ แต่น่าจะมีมากกว่านี้ 5/10 หากชื่นชอบการรีวิวของเรา สามารถติดตามการรีวิวของเราได้ที่นี่  เว็บรีวิวหนัง