รีวิว One for the Road วันสุดท้าย

เกริ่นนำ ภาพยนตร์ดราม่าแนว Road Trip ของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่สองคนที่แยกห่างกันไปมานาน ต้องกลับมาร่วมเดินทางไปด้วยกัน ระหว่างทางนั้นพวกเขาหนึ่งคนในนี้ได้ป่วยเป็น โรคมะเร็ง ความสัมพันธ์ครั้งนี้จะถูกรื้อฟื้นกลับขึ้นมาได้หรือไม่ หรือภายในภาพยนตร์จะมีประเด็นอะไรต่อเนื่องต่อไป ต้องรอชม โดย ในนักแสดงที่จะมาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือ ต่อ-ธนภพ, ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ ดูได้ที่ ดูหนัง

 

รีวิว One for the Road

 

มาชมผลงานเรื่องล่าสุดของบาส – นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับ ‘เคาท์ดาวน์’ กับ ‘ฉลาดเกมส์โกง’ ที่คราวนี้พ่วงหว่องกาไว (Wong Kar-wai) โคจรข้ามโลกมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้

พร้อมกับหนีบรางวัล World Dramatic Special Jury Award: Creative Vision จาก Sundance Film Festival มาเป็นเครื่องการันตีก่อนเข้าฉายในไทย

หนัง One for the Road เริ่มต้นเมื่ออู๊ด (ไอซ์ซึ – ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) ได้โทรมาหาบอส (ต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร) ว่าตัวเขากำลังจะตายเพราะลูคีเมีย บอสจึงต้องข้ามน้ำข้ามทะเลจากนิวยอร์กกลับมาไทย และพาอู๊ดไปทำตามปณิธานสุดท้ายก่อนตาย ซึ่งก็คือการเดินทางกลับไปคืนของให้เหล่าบรรดาแฟนเก่า เรื่องราวการเดินทางครั้งสุดท้ายของชายป่วยใกล้ตายกับเพื่อนรักจึงเริ่มขึ้น

 

รีวิว One for the Road

 

ถ้าเกิดใครได้เห็นโปสเตอร์ หรือ ดูเทรลเลอร์มาบ้าง คงพอมองออกว่า One for the Road เป็นหนังสไตล์  ‘Road Movie’ ซึ่งจะเป็นการพาตัวละครนั้นไปยังสถานที่ต่าง ๆ พร้อมพาคนดูดำดิ่งเข้าไปในความสัมพันธ์อันซับซ้อน ฉะนั้นแล้วหนังเรื่องนี้จึงมีบรรยากาศที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ของบาส นัฐวุฒิ มากพอสมควร ในขณะที่หนัง 2 เรื่องก่อนจะเน้นสไตล์ทริลเลอร์ที่อัดความลุ้นระทึกจนแทบไม่ทันหายใจ แต่ในเรื่องนี้กลับเป็นบรรยากาศสบาย ๆ ที่ค่อย ๆ ใช้อารมณ์ภายในขับเคลื่อนตัวมู้ดของหนังออกมาแทน

ในช่วงที่หนังพาเราสำรวจเส้นทาง ที่อู๊ดและบอสได้ ได้เดินทางผ่าน หนังก็ค่อย ๆ สอดแทรกแสงแฟลชแบ็ก กับหยอดปมไว้ตลอดทาง พร้อมย้อนความว่าพวกเขาเป็นใคร อะไรที่นำพาให้พวกคู่หูนี้ให้ต้องมาเจอกัน แต่ทว่าหนังก็ใช้ความเป็นโร้ดมูวี่ได้ไม่คุ้มนัก เพราะแต่ละโลเกชันที่พวกเขาไป มันกลับไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรไปมากกว่าการเป็นแค่จุดเช็กพอยต์ที่พาอู๊ดไปเจอกับแฟนเก่าแต่ละคนก็เท่านั้น

 

 

แต่ว่า ถ้าหนังจะไม้ได้สลับซับซ้อนทางการนำเสนอ แต่ก็ทดแทนด้วยบทที่ซับซ้อนเข้ามาแทน จากปมปัญหาที่หนังแอบหยอดไว้ในแต่ละเส้นทางก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นระเบิดเวลา และทำให้ซีนไคลแม็กซ์นั้นปะทุออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แม้ว่าหนังจะรีดอารมณ์คนดูออกมาได้ถูกจังหวะ แต่น่าเสียดายปมใหญ่ของหนังที่ถูกชูไว้ กลับไม่ถูกให้น้ำหนักเท่าที่ควร และทำให้คนดูรู้สึก ‘หลงทาง’ ในบางครั้ง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยพยุงหนังไว้คือ ทัพนักแสดง ที่คอยแบกเรื่อง ไล่ตั้งแต่นักแสดงหลักอย่าง ต่อและไอซ์ซึที่เคมีเข้ากันอย่างลื่นไหล ในแต่ละบทสนทนาของทั้งคู่แฝงไว้ด้วยความยียวนกวนทีนและเป็นห่วงกันตลอด จนเรารู้สึกได้เลยว่า นี่แหละความเป็นเพื่อนที่ไม่ประดิดปะดอย โดยเฉพาะไอซ์ซึ ที่ต้องขอชมมาก เพราะเขาใช้วิธีการแสดงแบบ Method Acting ในการดำดิ่งเข้าสู่ความเป็นอู๊ด ซึ่งไอซ์ซึต้องลดน้ำหนักถึง 17 กิโลกรัมและศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยลูคีเมียระยะสุดท้ายไปพร้อมกัน ต้องติดตามที่ เว็บดูหนัง

 

 

รีวิว One for the Road

ส่วนตัวนักแสดงสมทบนั้นก็เล่นดีไม่แพ้กัน ไล่ตั้งแต่บรรดาแฟนเก่าของอู๊ดที่รับบทโดย พลอย หอวัง, ออกแบบ ชุติมณฑน์, นุ่น ศิรพันธ์ ที่ทยอยมาสร้างสีสันกันเป็นระยะ แต่น่าเสียดายที่หนังให้มิติพวกเธอ เป็นแค่คนที่ผิดหวังจากอู๊ดและโผล่มาเพื่อด่ากับให้อภัยเท่านั้น แม้กระทั่งตัวละครอย่าง พริม (แสดงโดย วี วิโอเลต) ที่เป็นแฟนเก่าของบอส ซึ่งได้มิติ และ แอร์ไทม์มากกว่าแฟนเก่าคนอื่น ๆ ก็มีหน้าที่เพียงแค่ช่วยขับตัวตนจริง ๆ ของอู๊ดกับบอสออกมา และที่อดพูดถึงไม่ได้เลยก็คือบท พ่อของอู๊ด (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ที่แม้จะโผล่มาแค่เสียงและซีนสั้นๆ แต่ก็ทำหน้าที่ในการนำพาอู๊ด กับ บอสให้ทำภารกิจไปจนสุดทาง

ในหนัง One for the Road พยายามอย่างมากที่จะพาเราไปสำรวจในทุกแง่มุมของความสัมพันธ์ ตั้งแต่คนแปลกหน้า เพื่อน คนรัก ไปจนถึงครอบครัว ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ช่วยดึงอารมณ์ให้คนดูมีจุดร่วมกับหนังไปได้อย่างดี แม้ว่าเราจะไม่อินกับอะไร แต่ก็ยังมีมุมที่สะกิดใจให้ได้หันกลับมามองตัวเองอยู่เหมือนกัน  ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

ในด้านงานภาพที่กำกับโดย พาเกล้า จิระอังกูรกุล นั้นก็เป็นหนึ่งข้อดีของเรื่องนี้ รับรู้เลยว่าในแต่ละซีนค่อนข้างพิถีพิถันในการจัดวางเฟรม และการที่ได้หว่องกาไวมาช่วยดูภาพรวมของหนัง ก็ทำให้บรรยากาศ สไตล์หว่อง ตลบอบอวลอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เมื่อผสมกับจังหวะการตัดต่อสไตล์มอนทาจอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว ก็ทำให้จังหวะของหนังถูกนำเสนอออกมาได้อย่างพอดี เป็นตรงกลางที่สมดุลและไม่น่าเบื่อจนเกินไป

ภาพรวมแล้ว One for the Road หรือชื่อไทย ‘วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ’ เปรียบเหมือนค็อกเทลแก้วทดลองของบาส มีทั้งรสชาติที่แปลกใหม่ และส่วนที่อาจจะยังไม่อร่อยนัก แต่ด้วยการเชคที่ปราณีต และ ความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบ ก็ช่วยให้เราดื่มด่ำกับมันได้ไม่ยาก พร้อมทั้งดีใจที่ได้เห็นเวย์ใหม่ ๆ ในการนำเสนอของบาส (และอีกก้าวของหนังไทย) ซึ่งชวนให้เราตั้งหน้าตั้งตารอว่า “ค็อกเทลแก้วต่อไปของบาสนั้นเป็นอย่างไร” และเราก็พร้อมจะยกขึ้นดื่มอย่างไม่ปฏิเสธ อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

เริ่มมา One for the Road เปิดร้านต้อนรับเราด้วยบรรยากาศสลัว เสียงเพลงดังก้อง และค่อย ๆ เสิร์ฟเรื่องราวให้เราทีละเรื่องเหมือนได้ดื่มค็อกเทลหลายแก้วต่อกันเป็นชุด ประเดิมแก้วแรกรสชาติที่คุ้นลิ้นกับความหวานเปรี้ยวฟีลกู้ดของ Alice’s Dance ต่อด้วยรสซ่าขมปนหวานของ Noona’s Tear แวะข้างทางจิบยาดองของแรง ก่อนจะทำเราเซกับรสชาติที่แอบคาดไม่ถึงของ After the Rain และดึงเรากลับมาด้วย New York (turns) Pattaya Sour แก้วใหญ่เบิ้ม ปิดท้ายด้วย Chemotherapy ที่ขมแต่มี after taste เจือหวานอยู่ปะแล่ม ๆ

ต่อให้ยังไงสิ่งที่ One for the Road มีคือรสชาติที่แตกต่างอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ Bucket List ทั่วไปคือการแสดง ให้เห็นถึงความตายที่ไม่ใช่เรื่องสวยงาม เต็มไปด้วยการให้อภัยเสมอไป และการบิดมุมมองความฟีลกู้ด ที่ตัวละครจะได้สมหวังแม้จะในช่วงสั้น ๆ เพื่อที่จะจากไปอย่างเป็นสุข ให้กลายเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ผ่านตัวละครสีเทา ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

รีวิว One for the Road

 

ที่ทำให้คนดูรู้สึกหวานอมขมกลืนอย่างอู๊ด ทั้งเอาใจช่วยให้เขาทำภารกิจสำเร็จ แต่ก็อดประนามความเห็นแก่ตัวของตัวละครที่ทำทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองได้จากไปแบบใจสงบในใจไม่ได้ ก็เพิ่มรสความขม ให้เรื่องแต่ก็ชวนให้สดชื่นไม่น้อย

แต่ว่าเรายังได้เห็น collaboration ที่ลงตัวระหว่างสไตล์ของ บาส-ณัฐวุฒิ ผู้กำลกับและร่วมเขียนบท และ หว่องกาไว ด้วยพล็อตที่ดรามาติก บทที่ถึงจะดูธรรมดา แต่ก็ยังมีลูกเล่นให้รู้สึกมีความเกินจริงนิด ๆ เล่าผ่านดนตรีที่ประสานไปกับการเล่าเรื่อง แสงนีออนที่เร่งเร้า แต่มีความเหงากระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่ ยิ่งดูไปก็ยิ่งหลงรักพระเอกตัวจริงของเรื่องซึ่งก็คืองานภาพ องค์ประกอบศิลป์ และฉากที่สวยงามและเล่าเรื่องได้อย่างหมดจดทุกเฟรมตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง

 

รีวิว One for the Road

 

ส่วนผสมค็อกเทลจะอร่อยมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับรสชาติที่ผู้ชมชอบ  สำหรับเราเมื่อดื่มมากขนาดนี้ ในสองชั่วโมงกว่า จึงไม่แปลก ที่ทิศทางของการขับขี่ในโร้ดทริปนี้ จะทำให้รู้สึกสวิงซ้ายขวาไปบ้าง และเมื่อถึงปลายทางก็อดไม่ได้ที่จะเสียดายว่าบางแก้วให้ปริมาณน้อยเกินไป ส่วนบางแก้วไม่น่ายกซดไปมากขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม One for the Road ก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่มีรสชาติโดดเด่นที่น่าจดจำจนน่าจะลองสักแก้วอยู่ดี

และหากชอบบทความนี้ อยากติดตามการรีวิวหนัง สปอยหนัง ไม่ว่าจะเป็น หนังใหม่ หรือ หนังมาแรง ทุกเรื่อง ทุกแนว ได้ที่ เว็บรีวิวหนัง