รีวิว Into the Wild

เรื่องราวของ Into The Wild ติดอยู่ในโพย “หนังเหงา” ที่เราหวังว่าจะหามาดูให้ครบ เห็นว่าเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง และมีหนังสือด้วย แต่เราก็ยังไม่ได้อ่านหนังสือนะ เค้าบอกว่าอ่านหนังสือแล้วจะยิ่งอิน แต่ขอดูเป็นหนังก่อนละกัน ดูได้ที่ ดูหนัง

 

รีวิว Into the Wild

 

ตอนแรกที่เห็นหนังเรื่องนี้แวบๆ ก็แอบระแวงระยะเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งของหนังเหมือนกัน คาดเดาไปว่าหนังจะเป็นแนวผจญภัยมันส์ๆ อะดรีนาลีนพุ่งพล่าน ก่อนจะค้นพบสัจธรรมอันสุขสงบ ไรงี้รึเปล่า ต้องลองไปดูกัน

Into The Wild สร้างจากเรื่องจริงของ คริสโตเฟอร์ แมคแคนเดิลส์ (แสดงโดย Emile Hirsch) ชายหนุ่มที่เพิ่งจบจากรั้วมหา’ลัยมาหมาดๆ แต่แทนที่จะเข้าระบบสังคมทั่วไปด้วยการหางาน เขากลับเลือกที่จะออกผจญภัยเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต โดยมีจุดมุ่งหมายคืออลาสกา ดินแดนอันแสนสงบสุขเต็มไปด้วยธรรมชาติ

ฟังๆ ดูแล้ว เนื้อเรื่องไม่น่ายืดยาวไปถึง 2 ชั่วโมงครึ่งได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว หนังมีลูกเล่นในการเล่าเรื่อง ทำให้ระหว่างทางมันมีอะไรสอดแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ระยะเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งถูกแบ่งออกเป็น 5 องก์การเล่าเรื่อง โดยแบ่งแยกธีมกันไป เริ่มตั้งแต่การเกิด การเป็นวัยรุ่น การเป็นผู้ใหญ่ การมีครอบครัว และบทสรุปตอนท้าย

ด้วยเหตุนี้ เราจะพบว่าหนังเลือกถ่ายทอดตามธีมขององก์ต่างๆ ไม่ได้เล่าเรื่องแบบเป็นลำดับขั้นตอน ไม่ได้ไล่จาก 1 2 3 แต่จะสลับไปสลับมาจนบางทีก็สับสนได้ จะมีตั้งแต่เหตุการณ์สมัยคริสโตเฟอร์ยังอยู่กับครอบครัว ตอนที่คริสโตเฟอร์ออกเดินทาง และสุดท้ายคือตอนที่คริสโตเฟอร์ลงหลักปักฐานในรถตู้สีเขียวกลางป่าที่อลาสกา สามช่วงเวลานี้ถูกถ่ายทอดแบบสลับไปมา ฉะนั้นตอนดูอาจจะต้องตั้งสติให้ดีไม่งั้นอาจจะหลุดๆ ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว Into the Wild

 

ตัวหนังนั้นดำเนินไปอย่างค่อนข้างเรียบเรื่อย ไม่ได้มีแอ็กชั่นบุกตะลุยป่า วิ่งหนีเสือหนีหมีจนหอบแฮ่กอะไรขนาดนั้น ภาพรวมคือเหมือน Road Trip ที่ตัวเอกได้เรียนรู้ไประหว่างทาง จากคนที่พบเจอ

จากเหตุการณ์ที่ประสบ บางฉากมีชวนให้ตื่นเต้นได้บ้าง เช่น ตอนพายเรือปะทะน้ำเชี่ยวกราก ตอนเผลอไถลไปกับน้ำในแม่น้ำ ตอนล่ากวางมูส ฯลฯ แต่โดยรวมแล้วโทนของหนังค่อนข้างนิ่ง ใครที่อยากดูหนังตื่นเต้นอาจจะไม่ชอบ เลิกดูกลางคันซะก่อน แต่พอลองคิดเล่นๆ นะ แม้ว่าพอมันอยู่ในหนังจะไม่ได้ชวนระทึกอะไร แต่อย่าลืมว่านี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง พอคิดว่าถ้าเป็นตัวเราเจออะไรแบบนี้ ก็ตื่นเต้นและหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน

ถามว่า แล้วทำไมคริสโตเฟอร์ถึงเลือกที่จะทำแบบนี้? ทำไมถึงทิ้งสังคมและระบบที่เราคุ้นเคยกันดี ทิ้งการอยู่แบบสบายๆ เพื่อไปลำบากลำบนด้วย? หลายคนอาจจะรู้สึกว่าการกระทำของคริสช่างน่าขัน ดูเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ แต่เราว่าคริสก็มีเหตุผลของเขาแหละ เขาอยากจะค้นหาความหมายของชีวิต รู้สึกว่าชีวิตในเมือง ท่ามกลางสังคมวัตถุนิยม มันไม่ตอบโจทย์เขา เขารู้สึกอึดอัด อยากเป็นอิสระ อยากค้นหาว่าความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

คริสถูกขับเคลื่อนด้วยความฝันและความมุ่งหวังของเขา เป็นสิ่งที่มีพลังมากๆ เพราะถ้าไม่มีแรงขับเคลื่อนขนาดนี้ คนคนหนึ่งก็คงไม่ลุกขึ้นมาท้าทายตัวเองแบบนี้ เรานับถือคริสตรงที่จุดมุ่งหมายเขาชัดมาก เขาอยากไปอลาสก้าก็จะไป ไม่มีอะไรมาขวางทาง แม้จะมีสิ่งรอบด้านที่สามารถหยุดเขาได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็แค่รับรู้แล้วปล่อยผ่านไป ดูเหมือนเขาจะไม่ยึดติดกับอะไรอีกแล้ว นอกเหนือไปจากจุดหมายเท่านั้น

รีวิว Into the Wild

ความสัมพันธ์กับผู้คนที่เขาพบเจอระหว่างทาง ทำให้เขาได้เห็นมุมมองการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไป อย่างลุงเจ้าของไร่ที่เขาไปทำงานด้วย ก็บอกว่า อย่าไปจมกับอารมณ์โกรธเกลียดให้มากนักเลย อย่าไปยึดติดกับมัน หรืออย่างคู่หูฮิปปี้ก็มองว่าชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์คือความสุข คุณลุงคนสุดท้ายที่คริสพบเจอก็บอกให้เขารักคนอื่นให้เป็น อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

นี่คือความสุขที่แท้จริง แต่คริสนั้นดูเหมือนจะละทิ้งการเชื่อมต่อกับผู้คนไปแล้ว เขาเพียงแค่รับรู้คำแนะนำด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ก็ไม่ได้นำกลับมาใส่ใจอะไรมาก ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะปมในอดีตจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่นนั่นเอง มันทำให้เขาหมดศรัทธาในการสร้างสัมพันธ์กับผู้คน และคิดว่าการกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติน่าจะตอบโจทย์มากกว่า

แต่แล้วธรรมชาติก็ไม่ปรานีเขา เพราะต่อมาคริสก็ได้เรียนรู้บทเรียนหนักว่า ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรนั้น แม้จะดูสวยงามแต่ใช่ว่าจะใจดีกับสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ เพราะบางสิ่งบางอย่าง สัญชาตญาณดิบของสัตว์ป่าก็มีอำนาจเหนือกว่า ตัวอย่างก็เช่น ตอนที่คริสจะฆ่าสัตว์เพื่อหาอาหาร แต่ก็ไม่กล้าสักทีตอนที่เห็นมันเดินกับลูก เขายังมีจิตสำนึกของความเป็นคนดีอยู่ แน่นอนว่าถ้าเขายังใจอ่อนอยู่แบบนี้ ก็คงต้องหิวตายเพราะไม่มีอะไรกิน

นอกจากนั้น ธรรมชาติก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คริสรู้เกี่ยวกับธรรมชาตินั้นมีน้อยมาก แม้ว่าจะเตรียมตัวมาดีเท่าไรก็ตาม อย่างตอนที่คริสตัดใจฆ่ากวางมูสได้ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะจัดการยังไงกับเนื้อ เนื้อเลยเน่าเละไป กินไม่ได้ แถมยังตกเป็นลาภปากของสัตว์อื่นๆ อีก มันทำให้เขารู้สึกแย่มาก เมื่อสิ้นหวังกับการฆ่าสัตว์ เขาก็เปลี่ยนแผนไปเก็บพืชกินแทน ซึ่งก็ซวยอีกเพราะแม้จะศึกษาเรื่องพืชผักมีพิษมาแล้ว แต่ก็ยังมิวายเสียท่ากินพืชมีพิษเข้าจนได้

สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่า มนุษย์ช่างตัวเล็กนักเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เรานึกว่าเรารู้ทุกอย่าง ควบคุมมันได้ แต่จริงๆ แล้ว ธรรมชาติยังเหนือชั้นกว่าเรามากนัก

 

 

คริสได้เรียนรู้ว่า ภาพฝันอันสวยงามในดินแดนอลาสก้านั้น พอมาอยู่จริงๆ มันไม่ง่ายเลย และเขาก็ต้องแลกบทเรียนนี้ด้วยชีวิต

จะเรียกว่า “ตกม้าตาย” ก็ฟังดูใจร้ายไปหน่อย แต่เราก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะขนาดว่าผ่านอะไรมามากมาย แต่คริสก็เสียชีวิตเพราะกินพืชมีพิษไปโดยบังเอิญ เป็นความผิดพลาดครั้งเดียวที่ทำให้เขาถึงแก่กรรม ในช่วงนาทีที่เขากำลังจะหมดสติไปนั้น เราเหมือนได้ยินเสียงเขากู่ร้องว่า

“นี่ฉันกำลังจะตายแล้วจริงๆ หรือ” ในหัวเขาฉายภาพตัวเขากลับไปกอดพ่อแม่อีกครั้ง บวกกับการได้อ่านหนังสือปรัชญาที่เฉลยว่าแท้จริงแล้วความสุขจะเกิดขึ้นก็เมื่อมีการแบ่งปัน ฉากนี้ทำเอาใจสะอื้นกันได้เลย ในชั่วขณะสุดท้ายคริสคิดถึงพ่อแม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาผลักไสมาตลอด ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบแล้วละว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ไม่ไกล แต่เขาไม่เคยมองเห็นมันเอง

อย่างว่าละ คนเรามักจะไม่รู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งที่เรามี จนกระทั่งตอนที่เราใกล้จะสูญเสียมันไป

แต่ถึงอย่างนั้น คริสก็ยังยิ้มขณะที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะหมดไป เรามองว่านั่นคือสัญญาณที่ดี คืออย่างน้อยคริสก็ได้บรรลุข้อสงสัยของตัวเอง ได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองตามหาสักที มันทำให้เขาสามารถจากโลกนี้ไปได้อย่างสุขสงบ

รีวิวจากผู้ทั่วโลก

มีการประชดบางอย่างในเรื่องจาก “Into the Wild” ในขณะที่ฮอลลีวูด ดินแดนส่วนเกิน ทำภาพยนตร์เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่กำจัดทรัพย์สินทั้งหมดของเขาเพื่อใช้ชีวิตนอกแผ่นดินอย่างเรียบง่าย มันจะเป็นเหมือนฉัน (ที่ 250 ปอนด์) เขียนหนังสืออาหาร! ตอนนี้ ฉันไม่ได้โจมตีฌอน เพนน์ หรือภาพยนตร์หรือคนที่สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่โดยทั่วไปแล้ว ฉันไม่สามารถเชื่อมโยงฮอลลีวูดกับชีวิตของคริสโตเฟอร์ แม็คแคนเลสได้! ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

เรื่องราวเริ่มต้นด้วยคริสจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอมอรี โรงเรียนที่มีชื่อเสียงในจอร์เจีย ตอนนี้คุณคิดว่าเขาจะอยู่บนเส้นทางที่รวดเร็วสู่ความสำเร็จทางการเงิน…แต่เขากลับมอบเกือบทุกอย่างที่เขามีและมุ่งหน้าไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อใช้ชีวิตเหมือนคนเร่ร่อน

ดูเหมือนว่าคริสจะเหนื่อยกับชีวิตที่ต้องซื้อของและต้องการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย…และโดยส่วนใหญ่อยู่คนเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะวิ่งหนีจากตัวเอง….หรืออย่างน้อยเขาและครอบครัวของเขาเป็นใคร ในที่สุดชีวิตของเขาก็จะพาเขาจากภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาไปจนถึงป่าอลาสก้า เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ตามที่น้องสาวของคริสเล่าในภาพยนตร์

ฉันคิดว่านี่เป็นหนังที่ฉันชอบสไตล์มากกว่าตัวเรื่อง ฉันชอบสไตล์เรียบง่าย ดนตรีเรียบง่าย และดาราที่มีชื่อน้อยกว่าในภาพ ฉันยังเคารพในบทบาทที่ Emile Hirsch ทุ่มเทให้กับบทบาทนี้…การลดน้ำหนักของเขาตลอดทั้งเรื่องเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก

อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักบำบัดโรคที่ผ่านการฝึกอบรม ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคริสจะได้รับประโยชน์มากมายจากการบำบัด ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนฆ่าตัวตาย และฉันก็กังวลว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้เรื่องนี้โรแมนติกได้อย่างไร โดยรวมแล้ว เป็นหนังที่น่าสนใจแต่มักจะไม่สนุกและยาวเหยียด…ควรค่าแก่การดูสักครั้งแต่ไม่ใช่หนังที่ฉันอยากจะแนะนำ

ภาพยนตร์เวทย์มนตร์ของฌอน เพนน์ที่สร้างจากชีวิตของคริสโตเฟอร์ แม็คแคนด์เลส (เอมิล เฮิร์ช) ที่หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ได้บริจาคเงินออมเพื่อการกุศลเพื่อที่เขาจะได้ไปทัวร์รอบประเทศซึ่งจะปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังและเสียชีวิตในวัยเพียง 24 ในถิ่นทุรกันดารของอลาสก้า ทั้ง The Indian Runner และ The Crossing Guard Penn แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่

แต่ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องมีข้อบกพร่องอย่างมาก ด้วย The Pledge เขาแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกได้ และเขาก็ทำอย่างนั้นอีกครั้งกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่สดชื่น มีจิตวิญญาณ และมหัศจรรย์ที่สุดในความทรงจำล่าสุด ฉันเดาว่าคุณสามารถเรียกสิ่งนี้ว่าภาพยนตร์ข้อความ แต่นั่นอาจเป็นการดูถูกเนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น ฉันไม่แน่ใจว่าจะสื่อความหมายเบื้องหลังหนังทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดได้หรือเปล่า แต่มันทำให้คุณนึกถึงชีวิตของคุณในขณะที่ตัวละครกำลังทำในขณะที่เขากำลังเดินทางเพื่อค้นหาบางสิ่งซึ่งเขาอาจมีมาตลอด แต่แค่ไม่ได้สังเกต

 

 

 

ทิศทางของเพนน์ยอดเยี่ยมตลอดขณะที่เขาเล่าเรื่องของชายหนุ่มคนนี้และผู้กำกับไม่ได้อ่านโน้ตผิดตลอด 150 นาที โน้ตเพลงประกอบด้วยเพลงคลาสสิกและวัสดุอะคูสติกใหม่โดย Eddie Veddar และจับอารมณ์และความเป็นอิสระของภาพยนตร์ได้อย่างแท้จริง การถ่ายภาพยนตร์มีความสวยงามตั้งแต่ต้นจนจบ และถ่ายทอดความงดงามของสถานที่ต่างๆ ได้อย่างแท้จริง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการแสดง ซึ่งล้วนมีคุณค่าและคุ้มค่าแก่การพูดคุยของออสการ์อย่างแน่นอน เฮิร์ชต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งทางร่างกายและจิตใจ และนักแสดงก็สามารถจับภาพทั้งหมดนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

วิธีที่เขาเปลี่ยนจากเด็กที่เป็นอิสระไปเป็นเพียงแค่เด็กที่หลงทางในโลกนั้นน่าประทับใจอย่างไม่น่าเชื่อ การแสดงสนับสนุนนั้นยอดเยี่ยมพอ ๆ กันและนำเสนอ William Hurt และ Marcia Gay Harden เป็นพ่อแม่ของเขา Brian Dieker และ Catherine Kenner ในฐานะคู่รักฮิปปี้และ Vince Vaughn ในฐานะคนดื่มเหล้าที่ให้งาน Hirsch ฮัล ฮอลบรูครู้สึกประทับใจมากในฐานะชายชราที่ตระหนักว่าเขาใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ของ Penn นี่เป็นการมองชีวิต ความรัก

และความหมายของมันอย่างจริงจังมาก และผู้กำกับไม่แสดงท่าทีใดๆ เพนน์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขา แต่เขากำลังกลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์สำหรับหุ่นจำลอง เพราะมันบังคับให้คนดูต้องคิด และไม่มีหนังที่ดีกว่านี้สำหรับเรื่องนั้น หากชื่นชอบการรีวิวของเรา สามารถติดตามการรีวิวของเราได้ที่นี่  เว็บรีวิวหนัง