รีวิว Dunkirk

เอาละครับย้อนกลับไปชมประวัติศาสตร์กันนี่คือภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่ 10 ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ นี่คือครั้งแรกที่โนแลนใช้เหตุการณ์จริงมาทำหนัง นี่คือหนังเรื่องที่ 3 ที่โนแลนเขียนบทเองคนเดียว (ก่อนนั้นคือ Following และ Inception ซึ่งเจ๋งมากทั้งสองเรื่อง) นี่คือหนังที่โนแลนบอกว่า เป็นหนังทดลองมากที่สุดในชีวิตเขาแล้ว (ขนาด Memento กับ Inception ก็ล้ำเหลือแล้วนะ) ดูได้ที่ ดูหนังฃ

 

รีวิว Dunkirk

 

และต้องเอาชื่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน ขึ้นมาก่อนสิ่งอื่นใดครับ  เพราะเทียบหน้าหนังกันแล้วถ้าเอาเป็นหนังดราม่าสงครามที่มีฉากชายหาด เป็นโลเกชั่นยังไงก็ต้องให้ Saving Private Ryan (1998) ของสปีลเบิร์กมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าจะเอาว่าดาราใหญ่มาเล่นดังสุดก็มีแค่ ทอม ฮาร์ดี้ และ เคนเน็ธ บรานาจ์ กับเจ้าของรางวัลออสการ์สมทบชายอย่าง มาร์ก ไรแลนส์ เท่านั้นเอง แถมที่เหลือซึ่งกุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในหนังก็เป็นเพียงดาราวัยรุ่นหน้าใหม่เสียแทบทั้งนั้นด้วย อ่อ อาจขายได้ว่าเป็นการเล่นหนังใหญ่ครั้งแรกของนักร้องไอดอลระดับโลกจากวงวันไดเร็กชั่น อย่าง แฮร์รี่ สไตล์ส แต่เอาจริง ๆ ว่าคอหนังใครจะมาสนล่ะ? พูดกันตามตรงหนังเรื่องนี้ส่วนที่น่าสนใจมากที่สุดคือ เป็นหนังของโนแลน ผู้สร้างปรากฏการณ์ทางภาพยนตร์แบบสะเทือนไปทั้งโลกได้หลายต่อหลายครั้งนี่ล่ะครับ

ในหนังเรื่องนี้จับเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณเมืองดันเคิร์กชายฝั่งของประเทศฝรั่งเศส กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในขณะนั้นเสียทีให้ฝ่ายอักษะของนาซีจนล่าถอยมาติดค้างอยู่ที่เมืองนี้จำนวนมาก ในครั้งนั้นกองทัพอังกฤษของฝ่ายสัมพันธมิตรจนปัญญาในการอพยพเหล่าทหารของตนที่เมืองนี้ร่วมหลายแสนชีวิตให้ออกจากสมรภูมินรก ทั้งยังการถูกปิดล้อมก็ทำให้เหล่าทหารกลายเป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินศัตรูยิงทิ้งเล่น เรียกว่ารอวันที่ฝ่ายอักษะไล่บี้มาถึงเพื่อสังหารทิ้งไม่เร็วก็ช้าเท่านั้นเอง และหากเป็นเช่นนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรก็จะสูญเสียกำลังพลครั้งใหญ่ ยังส่งผลให้ฝ่ายอักษะได้รุกคืบสู่เกาะอังกฤษซึ่งเป็นจุดยุทธการสำคัญในสงครามครั้งนี้ของฝ่ายสัมพันธมิตรด้วย เพราะหากเสียอังกฤษเป้าหมายต่อไปย่อมต้องเป็นอเมริกาและแน่นอนหน้าประวัติศาสตร์โลกคงไม่เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้แน่ ๆ

 

 

ช่วงตอนนั้นชาวบ้านและชาวประมงจากอังกฤษต่างถูกเกณฑ์ให้นำเรือบ้าน ๆ ของตน ที่ไม่ได้รับการติดอาวุธใด ๆ ออกสู่ทะเล เข้าสู่สมรภูมิเลือดที่ดุเดือดถึงขีดสุดทั้งบนฟ้าและผืนน้ำ เพื่อนำชีวิตของกำลังพลที่ดันเคิร์กกลับสู่บ้าน ซึ่งตรงนี้กลายเป็นอีกหนึ่งในจุดเปลี่ยนของสงครามที่เกิดขึ้นด้วยพลังของชาวบ้านธรรมดา ๆ ล้วน ๆ เลยครับ

วีรกรรมของชาวบ้านตาดำ ๆ นี้ก็คงโดนใจโนแลนผู้กำกับที่เติบโตมาบนเกาะอังกฤษอย่างจัง เปรียบไปก็คงไม่ต่างจากคนไทยที่ภูมิใจในชาวบ้านบางระจันนั่นล่ะครับ แต่นี่คงแบบยิ่งใหญ่กว่าเยอะ เพราะเป็นสงครามระดับตัดสินหน้าตาของโลกได้เลย หนังใช้วิธีเล่า 3 ส่วนไปพร้อมกันโดยการดีไซน์ที่ฉลาดมาก ๆ ตั้งแต่ชื่อหนัง ที่มีการใช้ 3 เฉดสีแทนท้องฟ้า ผืนน้ำ และแผ่นดิน

รีวิว Dunkirk

ซึ่งแทนถึงสมรภูมิห้ำหั่นของสงครามโลกที่มีทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และทางบก นอกจากนี้หนังยังใช้การเล่าไม่ลำดับเหตุการณ์ที่ทำให้เราคาดเดาและลุ้นไปกับทุกวินาทีของหนังอย่างชาญฉลาดมากจนบางคนน่าจะเอาไปเทียบกับงานเก่าอย่าง Memento และ Inception แต่ขอบอกเลยว่าเข้าใจง่ายกว่าและยังใช้ประโยชน์ของการเหลื่อมเวลาได้อย่างระทึกใจกว่าด้วย ไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

รีวิว Dunkirk

 

โดยจะแบ่งการเล่าเรื่องเป็นสถานการณ์ 3 ช่วงต่างสถานที่คือ ช่วง 1 สัปดาห์บนบริเวณชายหาดดันเคิร์กที่ ทอมมี่ ทหารเด็กหนุ่มชาวอังกฤษ (ฟิออนน์ ไวท์เฮด) กำลังหาหนทางหลบหนีขึ้นเรือขนผู้บาดเจ็บเพื่อกลับบ้าน ทำให้ระหว่างทางเขาได้พบเพื่อนร่วมหนีทหารอย่าง กิ๊บสัน ผู้เงียบงัน (แอนไนริน บาร์นาร์ด) และทหารไฮแลนด์นาม อเล็กซ์ (แฮร์รี่ สไตล์ส) เหตุการณ์ต่อมาคือช่วง 1 วันของ ดอว์สัน และปีเตอร์ลูกชาย (มาร์ก ไรแลนส์ และ ทอม กลินน์-คาร์นี่ย์) กับเพื่อนของปีเตอร์นาม จอร์จ (แบร์รี่  คีโอกาน) ที่กำลังเอาเรือมูนสโตนออกไปช่วยเหล่าทหารกลับมาอังกฤษ และเหตุการณ์สุดท้ายคือช่วงเวลา 1 ชั่วโมงของทหารเครื่องบินขับไล่นาม ฟาร์ริเออร์ (ทอม ฮาร์ดี้) กับเพื่อนคือ คอลลินส์ (แจ็ก โลว์เดน) ออกปฏิบัติการปราบเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ทำลายเรือขนส่งทหารตลอดจนฆ่าทหารที่อยู่บนชายฝั่ง

เห็นแบบนี้นึกว่าจะไม่มีอะไร ขอบอกว่าโนแลนใส่สถานการณ์ชวนให้ต้องลุ้นตลอดเวลาได้ แบบเราต้องทึ่งครับ และหนังฉลาดดีมากครับที่เลือกดาราหน้าใหม่ และเด็กหนุ่มมาสะท้อนภาพสงคราม เพราะเราได้เห็นความไม่เจนโลก ความหวาดกลัวต่อสงคราม บาดแผลในจิตใจ ตลอดจนการเติบโตเชิงปรัชญาของเด็กหนุ่มผู้ผ่านช่วงเวลาเป็นตายทั้งต่อชีวิตของเขาและต่อศีลธรรมในใจ

ฉากที่น่าจะได้รับการพูดถึงมากฉากหนึ่งคือ ฉากที่เหล่าเด็กหนุ่มต้องเลือกผู้เสียสละที่ชวนให้นึกถึงฉากโจ๊กเกอร์วางระเบิดเรือใน The Dark Knight เลยทีเดียว กับอีกฉากก็คือช่วงที่ปีเตอร์เลือกจะตอบคำถามของนายทหารหนีทัพ (ซิลเลี่ยน เมอร์ฟี่) ที่แสดงนัยเชิงปรัชญาได้อย่างเรียบง่ายแต่สะเทือนใจมาก ๆ ครับ

 

 

มันคงยากที่จะเรียกว่าหนังสงครามแบบที่เราคุ้นเคยครับ เพราะตัวละครส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งหมายห้ำหั่นศัตรูแบบตายเป็นตาย หากแต่แสดงภาวะของการดิ้นรนมีชีวิตอยู่ เหมาะกับคำโปรยของหนังที่ว่า “การรอดชีวิตกลับไปได้ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่”

ส่วนการเขียนบทของโนแลนนี่มันอัจฉริยะจริง ๆ ล่ะครับ ไอ้ที่เราเห็นว่าเหตุการณ์นี้มันคลี่คลายไปแล้ว การเอามาฉายซ้ำเปลี่ยนมุมมองดันทำให้เราไม่ได้สบายใจขึ้นเลย กลับต้องลุ้นเข้าไปอีกทั้ง ๆ ที่เห็นการคลี่คลายของมันในอีกมุมมองหนึ่งไปแล้ว นั่นทำให้ระหว่างที่เราดูมันเต็มไปด้วยการขบคิดคาดเดา แต่ก็คาดอะไรไม่ได้จริง ๆ ครับ ทุกชีวิตพร้อมตายได้ทุกเมื่อ อีกอย่างที่ต้องกราบเลยคือหนังสงครามถูกสร้างมาไม่หวาดไม่ไหวจนเราก็คิดว่ามันไม่เหลือมุมอะไรให้เล่นทำให้เรากลัวได้อีกแล้วล่ะ แต่โนแลนก็หามันพบครับ ดันเคิร์กทำให้เรากลัวเรือดำน้ำเยอรมันอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน เรากลัวมากเวลาเสียงเครื่องบินวิ่งผ่านหัว หรือแม้แต่เห็นบินจากระยะไกล เสียงปืนในเรื่องนี้ไม่ต้องกราดรัวใด ๆ แต่ใช้แต่ละนัดแบบเน้น ๆ ทำให้เราหวาดกลัวได้มากจนหายใจแทบไม่ออก ผมเชื่อว่าคอสงครามจะรักหนังเรื่องนี้มาก ๆ เลยล่ะครับ

ด้านงานภาพต้องกราบ ฮอยต์ ฟาน ฮอยเตมา ผู้กำกับภาพคู่บุญคนใหม่ของโนแลนเช่นกัน ที่ถ่ายทอดวิสัยทัศน์อันไม่ธรรมดาในการเล่าเรื่องโดยไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย เพียงภาพและสถานการณ์ก็มากพอในการบีบคั้นหัวใจเราให้รู้สึกอินในทุกห้วงเวลาของตัวละครจนนี่อาจเป็นหนึ่งในการทดลองสำคัญทางภาพยนตร์ที่เทียบชั้นการไร้ดนตรีใน No Country for Old Man ของพี่น้องโคเอนเลยทีเดียว

นอกจากนี้ฮอยเตมายังสรรค์สร้างการจัดวางที่ใช้ประโยชน์ของสเกลฟิล์ม 70 มม. ที่กว้างกว่าจอปกติได้อย่างคุ้มค่ามาก ๆ นั่นจึงทำให้ประสบการณ์ดูหนังเรื่องนี้ในระบบที่เอื้ออำนวยสูงสุดอย่างไอแม็กซ์ ฟิล์ม 70 มม. ซึ่งปัจจุบันในไทยมีฉายที่เดียวคือที่พารากอนจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยสำหรับคอหนังขนานแท้ครับ เพราะหลังจากหนังเรื่องนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะได้ดูหนังที่ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 70 มม. นี้อีกเมื่อไรด้วยในโลกที่ดิจิตอลครองทุกผืนทวีปโรงหนังแล้ว

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

ก่อนตัดสินใจดู “ดังเคิร์ก” ขอเตือนนิดนึง ในขณะที่คุณคาดหวังความตายและเลือดในภาพยนตร์สงคราม แต่บางฉากในภาพยนตร์ก็ยากที่จะดูอย่างน่าอัศจรรย์ ที่จริงแล้วเลือดมีน้อยมาก แต่มีฉากจมน้ำบางฉากที่เข้มข้นและน่ากลัว ไม่ได้บอกว่าอย่าดูนะ เตรียมตัวให้พร้อม เรื่องนี้เป็นการเล่าขานถึงการหลบหนีของชาวอังกฤษ* จากชายหาดดันเคิร์ก กองทัพเยอรมันกำลังมา และกองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศสที่รวมกันติดกับดักโดยแทบไม่มีโอกาสหลบหนี และในขณะที่กองทัพชาวอังกฤษกว่า 300,000 คนขุดค้นและรอ กองทัพก็เริ่มแหย่ใส่พวกเขา ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์ 

 

 

และท้ายที่สุดก็จะฆ่าและ/หรือจับพวกเขาทั้งหมดหากไม่ใช่เพราะกองเรือเศษผ้าของเรือส่วนตัว ซึ่งมาถึงอย่างเร่งรีบและกระวนกระวายใจไปประมาณ 80-90% ของผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกๆ ของภาพยนตร์ คุณได้ยินคนพูดกับนักบิน (ทอม ฮาร์ดี้) ทางวิทยุ เสียงเป็นเสียงของ Michael Caine….จี้ที่แปลกและสั้น เรื่องราวน่าติดตาม เล่าได้ดี และยอดเยี่ยม ฉันมีข้อร้องเรียนเพียงข้อเดียว และฉันรู้สึกประหลาดใจที่มันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้พิจารณาว่าผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนน่าทึ่งเพียงใด มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เกิดเหตุสลับไปมาระหว่างชายบางคนในเรือที่ถูกโจมตีและเรือยอทช์ส่วนตัวที่ช่วยนักบินที่ตก ฉากสลับไปมาเรื่อยๆ….แต่ฉากหนึ่งชัดเจนในตอนกลางคืนและอีกฉากหนึ่งชัดเจนในตอนกลางวัน สิ่งนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย ถึงกระนั้น ก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่ง…หนังสงครามที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง

คริสโตเฟอร์ โนแลน ทำให้ฉันประทับใจเสมอในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีพรสวรรค์มาก และภาพยนตร์ส่วนใหญ่ของเขาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจมาก แม้แต่ความพยายามที่อ่อนแอกว่าซึ่งความทะเยอทะยานของเขาสามารถเข้ามาขวางทางได้ก็ควรค่าแก่การชื่นชม ภาพยนตร์ของเขาได้รับการสร้างสรรค์อย่างไม่มีที่ติในทางเทคนิค และมักจะให้ความบันเทิงและกระตุ้นความคิด อีกทั้งยังรู้วิธีแสดงผลงานที่ดีจากนักแสดงมากความสามารถ

‘ดังเคิร์ก’ ทำให้ฉันสนใจมันตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่แค่เพราะว่าโนแลนเป็นผู้กำกับ แต่สำหรับผม เขาคือหนึ่งในผู้กำกับที่ “ชื่นชม” มากกว่าคนที่ชอบเป็นการส่วนตัว และในขณะที่หนังทุกเรื่องของเขามีตั้งแต่ดีไปจนถึงโดดเด่น อีกครั้งจากความเห็นส่วนตัว ‘Memento’ เท่านั้นที่เป็นภาพยนตร์ที่ไม่มีข้อบกพร่อง เช่นเดียวกับเขาและภาพยนตร์ของเขา

 

 

แต่อย่าคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่หั่นขนมปัง นอกจากนี้ยังมีการมีส่วนร่วมของ Hans Zimmer ผู้ซึ่งเขียนคะแนนได้ยอดเยี่ยม (ทั้งในการทำงานร่วมกันของเขากับ Nolan เป็นประจำและที่อื่น ๆ ) และนักแสดงที่มี Mark Rylance, Kenneth Branagh, Tom Hardy และ Cillian Murphy นอกจากนี้ ‘ดันเคิร์ก’ ยังสร้างจากเหตุการณ์หายนะที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามอังกฤษ ซึ่งวินสตัน เชอร์ชิลล์อ้างว่าเป็น “ภัยพิบัติทางทหารขนาดมหึมา” การดู ‘ดังเคิร์ก’ หลังจากได้ยินคำชมมากมายแต่ก็มีความคิดเห็นที่แตกแยกจากทั้งสองฝ่าย ก็มีเรื่องน่าชื่นชมมากมายเกี่ยวกับ ‘ดังเคิร์ก’

แต่ถึงแม้จะเป็นผลงานชิ้นเอกทางภาพ เทคนิค เสียง และการกำกับ มันไม่ใช่ ชัยชนะของการสร้างภาพยนตร์อาจเป็นได้ สำหรับผม หนังของโนแลนใช้ความพยายามน้อยกว่า ซึ่งหมายถึงมักจะน่าประทับใจแต่มีข้อบกพร่องที่ความทะเยอทะยานเข้ามาขัดขวางการประหารชีวิต รู้สึกเหมือนกับ ‘Interstellar’ ซึ่งมีจุดแข็งและข้อบกพร่องคล้ายกับ ‘Dunkirk’ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าต่อให้คนอื่นต้องผิดหวังแค่ไหน มันก็ห่างไกลจากหนัง 1/10 แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ช่วยอะไรฉันมากนัก แต่อย่างน้อยก็ควรได้ 4 คะแนนจากฉันเป็นอย่างน้อย

เริ่มจากจุดแข็งกันก่อน ก่อนอื่น ‘Dunkirk’ ดูน่าทึ่ง จนถึงตอนนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดูดีที่สุดแห่งปี การออกแบบที่ชวนให้นึกถึงมาก มีแสงในบรรยากาศ และภาพยนต์ก็พราวไปด้วยกรวดบ้างแต่ก็มีความกล้าอยู่บ้าง ทิศทางของโนแลนมักจะยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปรากฏการณ์ที่มองเห็นได้ชัดเจน และในระดับเสียง ชัยชนะก็ยิ่งใหญ่พอๆ กัน เสียงคงที่แต่ไม่ได้กวนใจฉัน มาจากคนที่สามารถมีความไวสูงในการได้ยินแต่คุ้นเคยกับเสียงดังและระดับเสียงสูง (จำเป็นสำหรับประสบการณ์) เมื่อไปดูหนัง หากมีสิ่งใดมาเสริมความแท้ ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

คะแนนของ Hans Zimmer ได้รับคำชมมากมาย โดยได้รับเสียงชื่นชมจากส่วนใหญ่ แต่มีความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยบ้าง นับฉันว่าเป็นคนที่รักมัน มีคุณภาพที่เป็นลางไม่ดี แต่ก็น่าสมเพชและระเบิดเร้าที่ช่วยเพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ

การกระทำนี้มักจะทำให้เป็นทาส และมีความตึงเครียดที่ทำลายประสาทและความน่าสมเพชทางอารมณ์บางอย่างที่บีบคั้นหัวใจ (เช่นในการแสดงของคิลเลียน เมอร์ฟี) ชอบการแสดงเช่นกัน การแสดงที่ดีที่สุดมาจากมาร์ค ไรแลนซ์ที่สงบเสงี่ยมและพูดน้อยซึ่งสามารถพูดได้เพียงเล็กน้อยแต่ยังคงพูดได้เต็มเปี่ยมด้วยท่าทางเพียงเล็กน้อย ดวงตาของเขา และการแสดงออกทางสีหน้าของเขา บทบาทของ Kenneth Branagh ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เขาทำได้มาก ทอม ฮาร์ดี้และคิลเลียน เมอร์ฟี่ประจำการของโนแลนสั่งการหน้าจออย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทหารที่ช็อคเปลือกหอยของเมอร์ฟีนั้นเคลื่อนไหวได้อย่างแท้จริง รู้สึกช็อคอย่างยิ่งในทางที่ดีที่การเปิดตัวภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของฟิออน ไวท์เฮดและแฮร์รี่ สไตล์ส (บนกระดาษเป็นตัวเลือกการคัดเลือกนักแสดงที่บ้ามาก)

ในทางกลับกัน สิ่งที่ทำให้ ‘Dunkirk’ น้อยกว่าชัยชนะก็คือลักษณะเฉพาะ การเขียน และเรื่องราวนั้นยุ่งเหยิง ไม่สนใจบทสนทนาเพียงเล็กน้อยและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมมันถึงทำเสร็จ คิดว่าตัวละครยังด้อยพัฒนาและขาดความลึกซึ้งอย่างมาก ไม่มีใครรู้จักพวกเขาเลย ซึ่งน่าเสียดายเพราะการแสดงดีมาก

‘Dunkirk’ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนเย็นชาและไม่เข้าสู่สงครามอันน่าสะพรึงกลัวเพียงพอ เห็นด้วยกับการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นจริง มีหลายครั้งที่ทั้งคู่ผ่านเข้ามา มีความตึงเครียดและความสงสัย มีช่วงเวลาที่บาดใจและเจ็บปวดบ้าง แต่เราไม่ต้องการช่วงเวลา เราต้องการความมั่นคง ‘Dunkirk’ ไม่ได้น่ากลัวหรือน่าสะพรึงกลัวมากพอ (สำหรับภาพยนตร์สงคราม เรื่องค่อนข้างเชื่อง) และขาดการลงทุนด้านอารมณ์ที่สม่ำเสมอ

โนแลนสามารถทำได้มากขึ้นในด้านประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องที่ดีที่คนจำนวนมากที่นี่มีความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ แต่ก็ไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าทุกคนรู้เรื่องนี้หรือข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่มีใครคาดหวังประวัติศาสตร์ บทเรียนแต่พลาดโอกาสในเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นงานชิ้นเอกทางเทคนิคและภาพ การแก้ไขบางอย่างก็วุ่นวายในสถานที่ต่างๆ เนื่องจากโรคลมบ้าหมูนั้นค่อนข้างจะทนได้ แต่ก็ยังรู้สึกมากเกินไปแม้กระทั่งกับสิ่งที่พยายามจะทำ สุดท้าย การมีโครงสร้างที่ไม่เป็นเส้นตรงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย (โนแลนทำมันด้วย ‘ความทรงจำ’ และเชี่ยวชาญ) เรื่องราวทั้งสามที่เล่ามานั้นสับสนในบางครั้ง และมันก็ยากที่จะรักษาความต่อเนื่องไปมา เว็บรีวิวหนัง