รีวิว Dune (2021) ดูน

 

DUNE เป็นอีกเรื่องที่ตัวผมเองตั้งใจที่จะรอดูอย่างมาก เมื่อได้คุณยินเรื่องนี้ และ ได้กำกับโดย Denis Villeneuve ที่เคยสร้างผลงานในระดับตำนานทั้งนั้น เช่น Blade Runner 2049 เป็นอีกงานที่จัดว่าระดับเทพ แต่ก็เป็น ผู้กำกับ ที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่อาจจะเบื่อหรือหลับได้ง่ายเช่นกัน เพราะผมคิดว่าหลายๆคนกลัวว่าจะเน้นไปทางการปูดำเนินเนื้อหาต่างๆมากเกินไปด้วยเช่นกันในเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ผมชมกลับทำได้ดีและไม่น่าเบื่อแบบที่คิด และ ดำเนอนเรื่องได้ไวกว่าที่ผมคิด เรื่องนี้ย่อยง่ายพอสมควรเลยแหละ ซึ่ง ดูน เองเป็น นิยาย ไซ-ไฟ ระดับตำนานมากๆ

เรียกได้ว่า มหากาพย์เลยแหละทั้ง เรื่องราวความยิ่งใหญ่ จนหลายๆเรื่องเช่น Star War ก็มีกลิ่นอายได้รับแรงบันดาลใจมากเยอะเช่นกัน เป็นเรื่องราวที่เล่าไปอนาคตอีกหมื่นๆปี เทคโนโลยี การย้ายดาว เดินทางทุกอย่างล้ำไปอีกขั้นในระดับจักรวาลแล้วนั้นเองครับ และมีการปกครองแบบจักรวรรดิ ต่างๆมากมาย

โดยความคิดส่วนตัวของผมที่มีต่อ หนัง ดูนในฉบับของผู้กำกับเดวิด ลินช์ (David Lynch) ผมคิดว่าคงหนีไม่พ้นคำว่าเหวอแตกและง่วงหงาวหาวนอน แต่เมื่อได้ชมแล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิด จะมีความทะเยอทะยานและงานโปรดักชันที่ดูไม่ขี้เหร่จนส่วนตัวเองก็เชื่อไปแล้วว่านิยายเรื่องนี้ของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) คงไม่ใช่ของง่ายและน่าจะเป็นยาขมไม่น้อยสำหรับใครที่คิดจะหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ดูหนัง DUNE

 

รีวิว Dune (2021) ดูน

 

แต่แล้วก็มีคนลองดีจนได้ และการตลาดก็ปั้นหน้าหนังซะกลายเป็นไซไฟผจญภัยเกินหน้าความเซน (Zen) ของนิยายไปหลายช่วงตัวแต่ในเมื่อมีชื่อของ เดอนีส วิลล์เนิฟว์ (Denis Villeneuve) ผู้กำกับชาวแคนาดาที่ฝีมือขของเขาไม่ธรรมดาหยิบมาทำหนังคงยากที่จะห้ามใจไม่ให้ลองของกันอีกสักที

DUNE เป็นวรรณกรรมของ FRANK HERBERT เมื่อ 57 ปีที่แล้ว บางคนก็ได้บอกว่าเรื่องนี้คือแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องสตาร์วอร์สของจอร์จ ลูกัส ได้เคยมีงานสร้างมาแล้วหลายครั้งเรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จทั้งกำไรและคำวิจารณ์ แต่ด้วยความชื่นชมที่ยังคงมีมากในวรรณกรรมดั้งเดิม จึงเกิดมีงานสร้างนี้ขึ้น ใช้ทุนสร้าง 165 ล้าน กำกับโดย Denis Villeneuve ผู้กำกับหนังแอ็คชั่นไซไฟ ซิคาริโอ เบลดรันเนอร์ 2 และ Arrival

 

รีวิว Dune (2021) ดูน เนื่อเรื่อง

 

ในจุดเริ่มต้นเรื่องราวของ ‘Dune’ คือ”สไปซ์”ทรัพยากรที่มีคุณค่าแห่งดาวอาร์ราคีสที่เดิมจักรพรรดิ์พาดิชาห์เคยให้ตระกูลฮาร์คอนเนนปกครองและทำหน้าที่สกัดสไปซ์ส่งออกให้ผู้มีอำนาจ แต่แล้วในวันดีคืนดีจักรพรรดิ์ก็มอบหมายให้ตระกูลอเทรดีส อันสูงศักดิ์เดินทางเข้าไปดูแลหัวเมืองอย่างอาร์ราคีสและผลิตสไปซ์ป้อนเข้าส่วนกลาง แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นแผนของจักรพรรดิ์ที่ต้องการรวบและยึดอำนาจและกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่าง เลโท อเทรดีส (รับบทโดยออสการ์ ไอแซค Oscar Isaac) รวมถึงเหล่าฟรีเมนผู้ครองทะเลทรายแห่งอาร์ราคีสให้สิ้นซากไป ดูรีวิว Dune

โดยความหวังเดียวของดาวอาร์ราคีสฝากไว้ที่ พอล อเทรดีส (ทีโมธี ชาลาเมต์ Timothée Chalamet) บุตรของเลโทที่ถูกฝึกให้ใช้วิชาแห่งเสียงจาก เจสสิกา อเทรดีส (รีเบคกา เฟอร์กูสัน Rebecca Ferguson) สนมเอกของเลโทและแม่ของพอลที่สืบทอดลัทธิเกสเซอริต กลุ่มสตรีทรงอำนาจคอยชักใยความเป็นไปทางการเมืองโดยอาศัยมนตร์ดำ และโดยปริยายที่พอลจะกลายเป็นผู้ถูกเลือกที่ชาวฟรีเมนเชื่อมาตลอด

แต่มหาศึกครั้งนี้ไม่่ง่ายและยิ่งโหดหินเมื่อ บารอนวลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน (สเตลลาน สการ์สการ์ด Stellan Skarsgard) และกองทัพจ้องที่บดขยี้ทัพของอเทรดีสและยึดอาร์ราคีสด้วยความอำมหิต

 

รีวิว Dune (2021) ดูน

 

ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ‘Dune’ ไม่ใช่ของง่ายๆ ที่ใครจะเอามาทำภาพยนตร์ดี ๆ ได้แต่ก็ด้วยแพชชันของเดอนีส์ วิลล์เนิฟว์ที่เป็นแฟนนิยายมาทั้งชีวิต และสำหรับบทหนังวิลล์เนิฟว์ร่วมเขียนกับอีริค รอธ (Eric Roth) มือเขียนบทระดับตำนานจาก ‘Forrest Gump’ และ จอห์น สเปตส์ (Jon Spaihts) นักเขียนบทหนังไซไฟมือฉมังจาก ‘Prometheus’ มารังสรรค์บทหนังโดยดัดแปลงเนื้อเรื่องจากนิยายเล่มแรกแต่จะเล่าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นในหนังภาคนี้

แต่ถึงจะกำหนดว่าหนังจากนิยายเล่มแรกจะได้แบ่งเป็น 2 ภาคและหนังเรื่องนี้คือเรื่องราวเพียงครึ่งแรกเท่านั้นแต่เนื้อหาและหัวใจของเรื่องราวกลับถูกเก็บได้ครบถ้วนทั้งเกมการเมืองสกปรก อำนาจนายทุนไปจนถึงองค์ประกอบของความเป็นไซไฟที่เชื่อมโยงเนื้อหาแฟนตาซีเพ้อฝันเข้ากับปัญหาความเหลื่อมล้ำในโลกใบนี้ตามเจตนารมย์ของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ตได้ไม่มีตกหล่นและวิลเนิฟว์ยังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ลงตัวและดูสนุกเกินคาด

ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ของ Dune ก็มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไปอยู่บ้าง ไม่ว่าจะงานประพันธ์เพลงประกอบของตัวพ่อ “ฮันส์ ซิมเมอร์” ที่ดนตรีแนวเอพิคยิ่งใหญ่เหมาะกับตัวหนังเป็นอย่างดี แต่บางทีก็ใส่ซาวน์เข้ามาได้สะดุ้งและน่ารำคาญใจอยู่ในบางฉาก พลอยทำให้ดนตรีที่น่าจะช่วยบิวต์บรรยากาศความยิ่งใหญ่ กลายเป็นซาวน์โกลาหลที่น่าอึดอัดใจไปบ้างเล็กน้อย ดูหนังออนไลน์ได้ที่นี่

 

รีวิวนักแสดง ภาพ เสียง Dune 2021 

 

โดยนักแสดงเองนั้นระดับเกรด A ทั้งหมดที่เข้ามาร่วมแสดงทั้ง  ทิโมธี ชาลาเมต์ , เซนเดยา, เจสัน โมโมอา, เดฟ บอทิสตา, สเตลแลน สการ์สการ์ด  และ อีกมากมายทำให้เรื่องการแสดงเราเองไม่ต้องสงสัยในฝีมือการแสดง จนหลายๆคนอยากให้จัดเต็มมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งเนื้อหา ตัวละครต่างๆนั้นดูเยอะมาก แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ง่ายไม่งงครับจุดนี้แบ่งได้ดีเลยทีเดียว แต่หลายๆคนอาจจะไปเน้นรอดูและจัดเต็มกัน ภาค 2 เป็นหลักก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป ทำให้การแบ่งช่วงที่ได้ทำออกมา นำเสนอให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายไม่และดุไท่น่าเบื่อ

ปิดท้ายที่งานรวมดาราของหนังซี่งก็ต้องยอมรับว่า รีเบคกา เฟอร์กูสัน ดูจะได้ความโดดเด่นจากหนังไปเยอะที่สุดทั้งจำนวนช็อตที่ปรากฎกายหรือกระทั่งความสำคัญในหนังและเธอก็ถ่ายทอดบทบาทได้อย่างโดดเด่นจริง ๆ ส่วนทีโมธี ชาลาเมต์ก็ฉายเสน่ห์อย่างเต็มเปี่ยมและทำการถ่ายทอดเคมีความโรแมนติกกับเซนดายาได้อย่างลงตัวมาก แต่ตำแหน่งนักแสดงที่สาว ๆ จะกรี้ดที่สุดเห็นจะเป็น เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ในบท ดันแคน ไอดาโฮ ที่มาลุคหนุ่มล่ำเคราเตียน ๆ พร้อมคิวบู๊มัน ๆ เท่ ๆ ที่บอกเลยว่าสาว ๆ มีละลายแน่นอน

งานภาพ หากใครผ่านงานของผู้กำกับท่านนี้มาก่อน Denis Villeneuve โดยจะเห็นได้ว่า เป็นการผสมผสานกันระหว่าง Arrival + Blade Runner 2049 ที่โคตรลงตัว และมีความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างกว่าสองเรื่องที่ผ่านมาระหว่างรับชม เหมือนเราจะได้รับชมงานศิลป์ของภาพ สร้างสรรค์ แสงสี ของบรรยากาศบนดาวและทุ่งทะเลทราย อาร์ราคีส จนรู้สึกว่า เหมือนเราไปอยู่ในฉากนั้นจริงๆ

การใส่มาส์กดูหนังในโรงช่วงนี้ ถือว่าช่วยเสริมให้ท่านป้องกันฝุ่นจากทะเลทรายนี้ได้เป็นอย่างมากCG ที่ใช้ในเรื่องถือว่า เนี๊ยบมาก ไม่มีที่ติ มุมมองใหม่ๆ แปลกๆ สเกลยักษ์ของยานอวกาศ สวยงาม ในส่วนของฉากต่อสู้นั้น ระเบิดเรียกได้ว่าจัดเต็มลูกใหญ่เบิ้มๆ สมกับความยิ่งใหญ่ของสงครามนี้จริงๆงานคอสตูม ของตัวละครทำออกมาได้ดีมาก

รีวิว Dune (2021) ดูน

เข้ากับบรรยากาศและสภาพแวดล้อมของเรื่องที่สุด (แอบเห็นชุดที่นึกถึงเผ่ามังกรฟ้าในเรื่อง Onepiece ด้วยน่ะ)ซาวนด์เสียงประกอบต้องกราบท่านHans Zimmer ผู้ซึ่งคว้าหลายรางวัลออสการ์ในสาขา เสียงประกอบ (งานดังๆของพี่แก มาจากหนังเสด็จพ่อ โนแลน หมดเลย) ทำออกมาได้แปลกแหวกกว่าเดิม เสริมอารมณ์ ให้หนังในแต่ละฉาก จากที่อลังแล้ว ดูอลังการขึ้นไปอีก และฉากธรรมดา พอใส่เสียงที่ประพันธ์ลงไป ทำให้ฉากนั้นมีลูกเล่นขึ้นมาทันที ดูน่าติดตาม

ภาพรวมจึงเป็นหนังที่ระดับเทพมากๆเรื่องนึง ในแง่นิยาย และ มหากาพย์ที่สามารถเล่าเรื่องราวต่อได้อีกหลากหลายภาค คล้ายๆแบบเดียวกับ Lord of The Ringแบบนั้นเลยแหละความอลังการคุณภาพจัดว่าโหด และมีอะไรให้เล่า ให้เล่นอีกมากมาย ซึ่งอันนี้จะเน้นไปทางปูเรื่องราว ความสัมพันธ์แต่ละฝ่าย ตัวละครให้เราเข้าใจแน่นๆ และเชื่อเลยว่า ภาค 2 น่าจะลุยเต็มที่มากกว่านี้

ทำให้ภาคแรกอาจจะไม่ได้โดเด่นหรือหวือหวา พีคอะไรมากนัก เน้นเรียบๆแต่เล่าเรื่องได้ดีก็ถือว่าดีกว่าที่คิด คนดูไม่งง ไม่หลับ ตัวละครแบ่งกันมาได้ดี เล่าเรื่องเข้าใจง่ายแบบนี้ ดีกว่าที่เคยทำในยุคแรกๆมากแล้ว และ ส่วนตัวของผมนั้นประทับใจ และคิดที่จะรอติดตามในภาคต่อไปอย่างแน่นอน