รีวิว A Matter of Taste

สิ่งที่คุณจะได้เห็นในสารคดีเกี่ยวกับอาหารเรื่องนี้ A Matter of Taste: Serving Up Paul Liebrandt (2011) ที่ชื่อก็บอกแล้วว่าจะเกี่ยวกับพ่อครัว พอล ลีแบรนดต์ คนหนุ่มอารมณ์ร้อน กวนส้น ใจร้าย และปากเสีย ที่ในหนังคุณจะได้เห็นฉากเขาสวดลูกมือว่า ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

“ถ้าขืนทำไอ้ก้อนทุเรศๆ นั่นมาอีก ฉันจะเอากบาลแกสองคนโขกกำแพงซะ!” อาหารของเขานั้นอร่อย หรูหราระดับไฮ-เอ็นด์ (แปลว่าแพงหูฉี่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะอิ่มหรือเปล่า) แล้วแต่ละจานก็ช่างสร้างสรรค์ (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือแสนจะแปลกประหลาดล้ำ) เพราะเขาถนัดมิกซ์แอนด์แมทช์อะไรๆ ที่พิสดารและไม่เข้ากัน เช่น สมองลูกวัวกับฟัวกราส์ ไม่ก็ ปลาไหลกับช็อกโกแลต!?

และภายในช่วงสิบปีของการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เขาถูกเฉดหัวและย้ายมาแล้วถึงสี่ร้าน…คุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้ แต่เขาก็ยังมีหน้าจะใฝ่ฝันถึงดาวมิชลินอีก

ดาวมิชลิน คือมาตรฐานที่ถูกจัดอันดับใน มิชลิน ไกด์ หนังสือคู่มือแนะนำร้านอาหารในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก ซึ่งจัดทำโดยบริษัทผลิตยางชื่อดัง มิชลิน ตั้งแต่ปี 1900 ที่มีจำนวนดาวสูงสุดเพียง 3 ดาวเท่านั้น ดังนี้ หนึ่งดาว คือ ดีมาก, สองดาว คือ ดีเลิศอร่อยจัด คุ้มค่าจะขับรถไปแวะกิน และ สามดาว คือ อร่อยตะลึงต้องดั้นด้นไปลองให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

แต่มิชลินเคี่ยวมาก เพราะเกณฑ์ตัดสินไม่ใช่แค่รสชาติเท่านั้น ยังรวมถึงการตกแต่งร้าน, จัดจาน, มารยาทและไหวพริบของพนักงาน ฯลฯ แล้วตลอดร้อยสิบห้าปีมานี้ เฉพาะในอเมริกาก็มีหนึ่งดาวแค่ 135 ร้าน, สองดาว 25 ร้าน และสามดาว 13 ร้านเท่านั้น เคี่ยวขนาดนี้นายลีแบรนดต์ของเราจะได้มาสักดาวไหม?

“ผมไม่ได้บ้า ผมเป็นศิลปิน” คือคำแรกที่หลุดจากปากของเขาในสารคดีเรื่องนี้ ที่แสดงให้เห็นกลวิธีนอกรีตในการปรุงและแต่งอาหารจานหรู ด้วยท่าทีหยิ่งทะนงและปากดี “เชฟคนอื่นโผล่หัวเข้าครัววันละไม่กี่นาที แต่ดังได้เพราะไปโผล่ในจอทีวี แต่ของผมต้องอุดอู้อยู่ในครัววันละไม่ต่ำกว่ายี่สิบชั่วโมง ไม่มีวันหยุดพัก” ลีแบรนดต์โอ้อวด

 

รีวิว A Matter of Taste

 

ขณะเดียวกันเราก็จะได้เห็นฝีมือผู้กำกับหญิงมือใหม่ แซลลี โรวี แม้หนังเรื่องนี้จะไม่ได้คว้ารางวี่รางวัลอะไร แต่ก็น่าสนใจว่า เพียงการกำกับหนังเรื่องแรกของเธอ ก็เตะตาเทศกาลหนังสำคัญๆ อย่าง เทศกาล SXSW กับเทศกาลไทรเบกา เธอเล่าให้ฟังว่า

“ฉันมาเป็นลูกเรือลำหนึ่งที่เมืองไทย ตอนอายุ 23 แล้วเพื่อนคนนึงก็ชวนให้ไปเป็นผู้ช่วยโปรดักชันหนังเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์เป็นสิ่งที่ฉันสนใจมาตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาสเลย กระทั่งได้โดดเข้าไปคลุกคลี ฉันก็ย้ายไปเป็นลูกมือตัดต่อหนัง จากนั้นก็ไปทำงานที่แอลเอ แล้วก็ไปลงเรียนคอร์สภาพยนตร์ช่วงฤดูร้อนที่ NYU ตลอดสิบห้าปีมานี้ฉันเคยทำงานด้านหนังมาแล้วสารพัด

นอกจากที่บอกไปแล้วก็เป็นที่ปรึกษาบทหนัง และเคยแม้กระทั่งเป็นลูกกระจ๊อกยกไฟในกองถ่าย ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้ว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ให้กลายมาเป็นหนังได้อย่างไร ฉันอยากจะกำกับหนัง แต่ฉันไม่มีเงินทุนมากนัก พอดูลู่ทางแล้วเลยคิดว่าทำหนังสารคดีน่าจะลงทุนน้อยกว่า ถึงอย่างนั้นพอมากำกับเรื่องนี้ ก็ปาไปสิบปีเต็มกว่าจะเสร็จ”

ครั้งหนึ่ง โรวีไปคุยเรื่องบทหนังของคนอื่นในร้านแอตลาสที่ลีแบรนดต์เป็นเชฟอยู่ แล้วหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติของเขาแล้ว โรวีก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำหนังเรื่องแรกเกี่ยวกับพ่อครัวคนนี้ เธอว่า “ฉันอยากจะทำหนังแบบที่ฉันอยากดู”

ลีแบรนด์เติบโตมาในลอนดอน ที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมอาหารแต่อย่างใด แต่จับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานในครัวของร้านหรู ก่อนจะไปฝึกเป็นลูกมือของเชฟใหญ่ในฝรั่งเศส แล้วจึงย้ายมาอยู่ร้านแอตลาสในนิวยอร์ก ก็พอดีว่าเป็นช่วงที่แฟชั่นอาหารกำลังย่ำแย่พอๆ กับรสชาติที่ตกต่ำ เพราะเป็นช่วงหลังจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001

อาหารของลีแบรนดต์มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เต็มเปี่ยม ถึงอย่างนั้นก็กลับถูกจวกว่า “เหมือนกองขยะ” แต่ก็ยังอุตส่าห์ได้มาตั้งสองดาวจากนักวิจารณ์อาหารของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส จนกระทั่งเมื่อเจ้าของร้านขอให้เขาเปลี่ยนรูปแบบเมนู

เพื่อให้ดูเป็นมิตรกับชาวบ้านแถวนั้น ลีแบรนด์ก็บ่นว่า “มันจะทำให้สมองผมฝ่อ” แล้วหลังจากนั้นคนดูก็จะได้เห็นชีวิตของเขาที่ขึ้นสุดลงสุดราวกับรถไฟเหาะตีลังกา

แต่จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้น ไว้รอลุ้นกันในหนังดีกว่า เพราะสารคดีเรื่องนี้มีคิวลงโรงในบ้านเราต้นมิถุนายนนี้ ติดตามได้ทางเพจ Documentary Club และสิ่งที่เราจะหยิบมาให้อ่านต่อไปนี้ คือบทสัมภาษณ์เมื่อปลายปี 2013 อันเป็นการอัปเดตชีวิตของลีแบรนดต์หลังจากเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ ที่เขาตัดสินใจย้ายร้านอีกเป็นหนที่ห้า

จากที่จะได้เห็นในหนังว่าร้านคอร์ตันเป็นร้านสุดท้าย แต่ไม่กี่ปีถัดมาเขาก็ย้ายไปสู่ร้านใหม่ที่ชื่อดิเอล์ม (แล้วอันที่จริงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในปีนี้เอง เขาก็แย้มด้วยว่ากำลังจะไปทำอะไรที่สร้างสรรค์กว่าเคย แต่ยังไม่เป็นที่เปิดเผย) ลีแบรนดต์เล่าว่า

รีวิว A Matter of Taste

“ผมขอเปรียบเทียบง่ายๆ นะ ลองนึกถึงธรรมเนียมการไปดูโอเปราของคนเมื่อร้อยปีก่อนสิ พวกเขาต้องสวมหมวกทรงสูง ถือไม้เท้าโก้ๆ แล้วหันมาดูผู้คนเดี๋ยวนี้สิ เผลอๆ บางโอเปราที่พวกเขาดูยังเป็นเรื่องเดียวกับเมื่อร้อยปีก่อนด้วยซ้ำไป แต่สไตล์การแต่งตัวของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาไม่สวมหมวกโยนไม้เท้าทิ้งไปแล้ว แต่ยังคงต้องการจะดูโอเปรา ไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

 

แนวทางอาหารของผมก็เป็นแบบนั้นล่ะ ผู้คนยังคงโหยหาอาหารดูดีอร่อยๆ ไม่เคยเปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนคือรสนิยมในการกิน เดี๋ยวนี้พวกเขาต้องการอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ผสมผสานกับอาหารท้องถิ่นที่คุ้นเคยมากกว่า

และต้องการความเรียบง่ายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตองแบบอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ แต่ก็ไม่ใช่อาหารอเมริกันจ๋า มันคืออะไรกลางๆ ที่ผสมผสานทั้งสองอย่างเข้ากันได้อย่างลงตัว”

แล้วถ้าให้เขาสรุปว่าสไตล์ของเขาคืออะไร เขาตอบว่า “กราฟิก” ลีลาทำครัวของเขาราวกับจิตรกรตวัดฝีแปรงลงบนผืนผ้าใบ ด้วยรูปทรงเรขาคณิตเรียบง่าย แต่ความโดดเด่นของลีแบรนดต์ไม่ใช่แค่การยัดนั่นผสมนี่มั่วๆ

ให้แปลกๆ เข้าว่า อาหารจานของเขาตื่นตาที่คาดเดาไม่ออกเลยว่ามันทำมาจากอะไรบ้าง แล้วยิ่งพอรู้ว่ามันคืออะไร ก็จะยิ่งฉงนว่าวัตถุดิบที่ไม่น่าจะอร่อยได้ กลับรสเลิศเมื่อผ่านมือลีแบรนดต์

แล้วที่น่าฉงนกว่านั้น เรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้ลีแบรนดต์กลับบอกว่า “ผมไม่ใช่ศิลปินอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมทำคือการนำศิลปะไปสู่อาหาร คนเรากินโดยใช้สายตาของเราก่อนเป็นอันดับแรก

และผมทำให้อาหารน่ากินด้วยศิลปะ แต่ในฐานะที่ผมเป็นเชฟ ผมปรุงอาหารแต่ละจานเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองให้อยู่รอด และเพื่อให้ผู้คนที่กินมันรู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

นี่เป็นภาพยนตร์ที่แหวกแนวและเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ “ไม่เหมือนฮอลลีวูด” ที่ฉันเคยเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างช้าเกี่ยวกับเศรษฐีแปลกหน้าคนหนึ่ง และวิธีที่เขาค่อยๆ ยั่วยวนชายอีกคนหนึ่งในลักษณะที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ การแสดงและการเขียนนั้นยอดเยี่ยม แต่ที่ฉันชอบคือมีหลายวิธีที่สามารถตีความภาพยนตร์เรื่องนี้และไม่มีอะไรสะกดออกมาอย่างสมบูรณ์สำหรับผู้ดู ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

บางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน แต่ฉันคิดว่าเรื่องนี้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการศึกษาด้านจิตวิทยาที่ดี คุณถูกทิ้งให้มีคำถามที่เป็นไปได้มากมาย เช่น อะไรกันแน่ที่ผิดทางจิตใจกับคนรวย (ตามคลินิก

เขาค่อนข้างจะเดายาก) คนจนก็คิดไม่ออกเหมือนกัน มีการควบคุมจิตใจโดยเจตนา คนรวยวางแผนไว้หรือไม่ บทสรุปของภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดมาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศอยู่บ้าง ฉันแน่ใจว่าถ้าคุณดูหนัง คุณจะมีคำถามมากกว่านี้ และสำหรับฉัน ฉันชอบความคลุมเครือนี้ มันทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่จะพูดคุยกับเพื่อนๆ ของคุณ

งานแรกของ Bernard Rapp นั้นไม่แปลกใหม่มากนัก: อิทธิพลของ Chabrol ที่แข็งแกร่งสามารถสัมผัสได้ที่นั่นและทุกที่ ภาพยนตร์สองเรื่องอยู่ในใจ “les biches” (1967) และ “Betty” ในยุค 90 เรื่องราวทั้งสองเกี่ยวข้องกับผู้หญิง แต่ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก นอกจากนี้ยังมี “une étrange affaire” (1981) ความพยายามของ Pierre Granier-Deferre ซึ่ง Michel Piccoli และ Gérard Lanvin มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวีรบุรุษของ Rapp และอย่าลืม “คนรับใช้ของ Losey” แบบคลาสสิก ” (1963)

ที่กล่าวว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่น่าจับตามองด้วยการแสดงภาพโลดโผนของ Bernard Giraudeau หากนักแสดงสามารถแลกบทที่ค่อนข้างแฮ็คได้ นี่จะต้องเป็น Giraudeau: เรียบๆแต่ดูน่ากลัว หน้าตาบูดบึ้งแต่เผด็จการที่ละเอียดอ่อน

เขาจะสะกดจิตไม่เพียงแต่นักชิมรุ่นเยาว์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ชมทั้งหมดด้วย เขามีพลังมากจนนักแสดงคนอื่นๆ (รวมถึง Jean-Pierre Léaud ที่แก่แล้ว) นั่งอยู่บนบัลลังก์ ฉันหวังว่าเขาจะได้พบกับผู้กำกับที่มีค่าสำหรับของขวัญพิเศษของเขา

 

รีวิว A Matter of Taste

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เหตุการณ์ย้อนหลังและการก่อสร้างทำให้นึกถึง “les aveux de l’innocent” (1996) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาอีกเรื่องหนึ่ง ตอนจบค่อนข้างไม่น่าเป็นไปได้และผิดหวังมาก ฝ่ายหญิงเป็นตัวละครจากกระดาษแข็ง

และนักแสดงไม่สามารถแสดงเป็นได้ เป็นการถ่วงดุลใน “une étrange affaire” นาตาลี เบย์ ทำให้ฉากทั้งหมดของเธอมีความหมาย

ยังไงก็ลองดู! ทุกครั้งที่ Giraudeau อยู่บนหน้าจอจะทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า และลองถ้า “une affaire de goût” สำหรับคุณมีรสนิยมที่ได้มาเพื่อดูหนังเรื่องอื่นที่ฉันพูดถึง

Frederic Delamont นักธุรกิจผู้มั่งคั่งกำลังประสบปัญหา เขาต้องมีคนชิมอาหารที่เขากำลังจะกิน การไม่ชอบปลาและชีสเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา นั่นคือเหตุผลที่เมื่อเรื่องราวเริ่มต้นขึ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ Nicolas Riviere ไปดูกันเลยที่เว็บดูหนังฟร

 

 

ซึ่งกำลังจะเสิร์ฟจานอาหารให้กับ Delamont ในร้านอาหารที่เขาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ได้รับการบอกจากผู้รับประทานอาหารให้ลองชิมบางอย่างจากจานที่เขาเพิ่งเสิร์ฟและ อธิบายส่วนผสมของมัน เมื่อ Nicolas ให้คำตอบที่ถูกต้อง Delamont ดูเหมือนจะประทับใจในความรู้ด้านอาหารของพนักงานเสิร์ฟคนนี้

นิโคลัสหมั้นหมายให้เป็นนักชิมส่วนตัวของเดลามอนต์ ซึ่งสิ่งที่แฟนสาวของเขา เบียทริซ และกลุ่มเพื่อนๆ ที่อยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่มักพบว่าแปลก เดลามอนต์ถามว่าสิ่งที่ปรากฏออกมานั้นเกินหน้าที่ของพนักงาน

เขาต้องทานอาหารอย่างเข้มงวดและต้องเลิกสูบบุหรี่ ในตอนท้ายของการทดลองนี้ Delamont นำเสนอ Nicolas ด้วยงานเลี้ยงปลาและชีส หลังจากอดอาหารเป็นเวลานาน งานเลี้ยงทำให้นิโคลัสป่วย และเขาก็พัฒนาความเกลียดชังต่อปลาและชีสเช่นเดียวกับเดลามอนต์

เดลามอนต์ต้องการครอบงำความสัมพันธ์ของเขากับชายหนุ่มคนนี้ จนถึงจุดที่เบียทริซรู้สึกว่าเธอต้องยุติการเห็นนิโคลัส เมื่อนิโคลัสไปรับหญิงสาวที่โรงแรม เดลามอนต์เสนอให้เช่าห้องชุดให้เขา ชื่นชอบการรีวิวของเราสามารถติดตามการรีวิวได้ที่นี้ทีเดียว เว็บรีวิวหนัง