รีวิว A Beautiful Mind

ซึ่ง A Beautiful Mind ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเมื่อปี 2002 รวมผู้กำกับ (รอน ฮาวเวิร์ด) ผู้แสดงประกอบหญิง และบทภาพยนตร์ ซึ่งสะท้อนความเป็นมนุษย์บางมิติได้อย่างยอดเยี่ยม ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

มนุษย์ที่ดูยิ่งใหญ่ทางความคิดและเหตุผล แต่เปราะบางทางอารมณ์และความรู้สึกยิ่งนัก สามารถแก้สมการคณิตศาสตร์อันซับซ้อนได้ แต่แก้สมการชีวิตของตนเองไม่ได้ ข้อสรุปอันเป็นที่สุดของเรื่องอยู่ที่ฉากสุดท้าย ในคำกล่าวสั้นๆ แต่กินใจอย่างยิ่งของจอห์น แนช (รัสเซล โครว์)จากเวทีที่เขาขึ้นไปรับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี 1994

หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากชีวิตจริงของศาสตราจารย์ จอห์น แนช อัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันซึ่งมีปัญหาทางจิตตั้งแต่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปรินซตัน แต่เพราะเขาเป็นอัจฉริยะ แม้จะมีพฤติกรรมแปลกๆ ใครๆ ก็นึกว่า นั่นคือลักษณะพิเศษของอัจฉริยะ ไม่ได้คิดว่านั่นคือโรคจิตเสื่อมที่กำลังคุกคาม
จอห์น แนช คงเป็นเด็กฉลาดมากกว่าเด็กทั่วไปจึงสามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนที่ปรินซ์ตันได้ แต่เขาคงมีปัญหาบางอย่างตั้งแต่วัยเด็ก มีปัญหาในการสัมพันธ์กับคนอื่น เขาเล่าให้เพื่อนฟังว่า “ครูบอกว่า ผมมีสมองโตกว่าคนอื่นสองเท่า แต่มีหัวใจแค่ครึ่งเดียว”

เขาพูดเองว่า “ผมไม่ค่อยชอบคนอื่น และคนอื่นก็คงไม่ชอบผมเหมือนกัน” เขามี IQ ระดับอัจฉริยะ แต่ EQ ระดับบกพร่องถึงขั้นผิดปกติอันเนื่องเพราะเขามีปัญหาทางจิตนั่นเอง

โรคจิตเสื่อม (schyzophrenia) มีอาการหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่เป็นกันมาก คือ การเห็นภาพหลอน รวมทั้งการคิดเอาเองว่ามีคนตามฆ่าตามทำร้าย เห็นอะไรเห็นใครก็ระแวงไปหมด (paranoid) คนที่มีปัญหาทางจิตแบบนี้จึงมักเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่คบหาสมาคมกับใคร อยู่ในโลกของตัวเองที่เชื่อว่าเป็นจริง

ภาษาของหนังเป็นอีกภาษาหนึ่งที่พยายามนำเอาภาพหลอนและอาการทางจิตของอัจฉริยะผู้นี้ออกมาเป็นเรื่องราวที่ดูตื่นเต้นชวนติดตามจนคนดูตอนแรกๆ เชื่อสนิทว่านั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ใครจะไปคิดว่า เพื่อนร่วมห้องของเขาที่มหาวิทยาลัยที่แท้ก็เป็นภาพหลอน ซึ่งจะหลอกหลอนเขาไปจนหนังจบ ไม่ทราบว่า วันนี้ปีนี้มันยังมาหลอนอยู่อีกหรือเปล่า

เขาต้องพูดคุยโต้ตอบกับบุคคลในภาพหลอนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องและหลานของเขาและสายลับที่นำเขาเข้าไปรับงานราชการลับด้านความมั่นคง จนกระทั่งเมื่อเขาได้รับการเยียวยารักษา อาการก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ภาพเหล่านี้ก็ค่อยๆ หายไป แต่ก็กลับมาอีกเมื่อเขาเลิกกินยา และเกิดความเครียด

เขาเอาชนะได้จริงๆ ไม่ใช่เมื่อเขากำจัดภาพนั้นให้หมดไป แต่ปล่อยให้มันอยู่หรืออยู่ร่วมกับมันโดยไม่พูดคุยหรือแยแสกับบุคคลอันเป็นภาพหลอนเหล่านั้นอีกต่อไป ไม่ว่ามันจะติดตามเขาไปถึงไหน เขาสรุปได้น่าฟังว่า ภาพหลอนเหล่านั้นก็เหมือนความคิดมากมายในตัวเราที่เราเลือกได้ว่าจะสนใจกับความคิดไหน อันไหนที่มารบกวนและสร้างปัญหาก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ก็แค่นั้นเอง

แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นได้ชีวิตก็เกือบจะอับปางหรือแทบจะต้องไปจบในโรงพยาบาลบ้าตลอดชีวิต โชคดีที่เขากลับมาได้ แม้จะไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม หนังพยายามบอกว่า คนคนหนึ่งที่ช่วยให้เขากลับมาเหมือนเดิมได้ คือภรรยาของเขาเอง

อลิเชีย (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี) เป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์แนช ฉากแรกก็แสดงให้เห็นความแตกต่างของการแก้ปัญหา พออาจารย์เดินเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงคนงานกำลังเจาะถนนข้างล่าง ดังหนวกหูมาก เขาเดินไปปิดหน้าต่าง นักศึกษาคนหนึ่งขอร้องว่า เปิดสักบานจะได้ไหมครับอาจารย์ อากาศร้อนมาก เขาตอบว่า ร้อนยังดีกว่าฟังเขาไม่ได้ยิน

ครู่เดียว อลิเชียลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เปิดออกแล้วตะโกนลงไปข้างล่าง พูดดีๆ ขอร้องให้คนงานหยุดทำงานที่นั่นสัก 45 นาที คนงานก็ยอมหยุด หนังทำให้เห็นตั้งแต่ต้นว่า ผู้หญิงคนนี้สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่อัจฉริยะอย่างจอห์น แนช แก้ไม่ได้ บางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาอะไร ต้องการเพียงสามัญสำนึกเท่านั้น

 

 

อลิเชียอาจจะไม่ได้เก่งกาจในเรื่องคณิตศาสตร์เหมือนจอห์น แนช แต่เธอก็สามารถสื่อสารเป็น “สมการ” ใน “ภาษา” หรือตรรกะของสามีของเธอได้ตั้งแต่เริ่มคบหากันและรักกันใหม่ๆ อย่างเมื่อเขาขอเธอแต่งงาน เธอก็ตั้งโจทย์ถามด้วยภาษาคณิตศาสตร์ เพราะดูเหมือนว่าเขาไม่มีอะไรอื่นในหัวสมอง ในหัวใจและวิญญาณทั้งหมดนอกจากคณิตศาสตร์ โจทย์ สมการ ตัวเลข รหัส

เขาออกเดตกับเธอโดยไปงานเลี้ยงด้วยกัน แต่ก็ไปแบบคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเลย เธอต้องคอยเป็น “พี่เลี้ยง” และเมื่อออกไปข้างนอก เขาก็ชวนเธอดูท้องฟ้า ดูดาวต่างๆ ที่เขามีความถนัด ซึ่งเป็นฉากที่สวยงามที่สุดฉากหนึ่งในหนังเรื่องนี้ เขากับเธอ ฟ้ากว้างและดวงดาว

ชีวิตจริงของทั้งคู่ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้าคืนวันนั้น แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากโรคจิตเสื่อมของเขา อาการของเขาย่ำแย่จนกระทั่งถึงจุดที่ถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้า

ปัญหาของจอห์น แนช ที่เห็นในหนัง คือ เขาพยายามหาเหตุผลของทุกอย่าง และพยายามแก้สมการชีวิตตามแบบถนัดของเขาตลอดเวลา เขาเลิกกินยาเพราะกินแล้วช่วยเมียเลี้ยงลูกไม่ได้ ทำงานอะไรก็ไม่ได้ นอนกับเมียก็ไม่ได้เพราะหมดความรู้สึก แล้วมันดีกว่าเป็นบ้าตรงไหน

พอเลิกกินยา อาการเขาก็กลับไปอย่างเก่าอีก และเกือบจะทำให้ลูกจมน้ำในอ่างอาบน้ำ เพราะเห็นภาพหลอนของเพื่อนที่บอกว่าจะช่วยดูแลลูกให้ แล้วภาพหลอนก็มาสั่งให้เขาจัดการเมียตัวเอง จนเกือบจะเกิดโศกนาฏกรรม แต่เขาก็ยัง “ได้สติ” ชั่วขณะ เมื่อคิดได้ว่า ทำไมมาร์ซี เด็กหญิงหลานของเพื่อนจึงยังเป็นเด็กเล็กเท่าเดิมทั้งๆ ที่เขาเห็นเธอมาหลายปีแล้ว เขาถึง “ได้สติ” และเชื่อว่าที่ตนเองเห็นนั้นเป็นภาพหลอนจริงๆ

 

รีวิว A Beautiful Mind

 

จิตแพทย์บอกว่า สิ่งที่เจ็บปวดและยากลำบากที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเสื่อมประเภทนี้ คือการที่ต้องยอมรับว่า สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นไม่มีจริงและไม่เคยมีอยู่ เมื่อเริ่มจับประเด็นได้ จอห์น แนช ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า เขาจะต้องแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องการเวลาเท่านั้น

ฉากประทับใจที่สุดของหนังเรื่องนี้อยู่ในช่วงนี้ที่ภรรยาของเขาตัดสินใจที่จะช่วยเขาให้ถึงที่สุด โดยร่วมมือกับหมอ พยายามหา “หลักฐาน” มายืนยันให้ได้ว่า ภาพทั้งหมดที่เขาเห็นล้วนเป็นภาพหลอน และที่สำคัญ เธอจะต้องเข้าใจเขาให้มากขึ้น หนังบอกเรื่องนี้อย่างนุ่มนวลและเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง

เขานั่งอยู่บนเตียง เธอยืนอยู่ที่ประตูแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหา เธอถามเขาว่า อยากรู้ไหมว่าอะไรจริง (What is real?) พลางคุกเข่าลง เอามือขวาจับที่แก้มของเขา เอามือซ้ายของตนเองจับมือขวาของเขามาแนบที่แก้มของเธอ ลดมือของเธอลงมาที่หน้าอกของเขา ตรงหัวใจ และจับมือของเขาลงมาไว้ที่หน้าอกตรงหัวใจของเธอพร้อมกับพูดว่า “นี่ไงที่เป็นจริง”

แล้วเธอก็บอกต่อไปว่า “บางทีส่วนที่สั่งให้คุณตื่นจากความฝันมันอาจไม่ได้อยู่ที่นี่ (พลางจับที่ศีรษะ) แต่อยู่ที่นี่ (จับที่หน้าอก) ฉันต้องเชื่อว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้” ความพยายามของทั้งสอง รวมทั้งความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่า ที่เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่ง ซึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์ที่ปรินซ์ตัน ทำให้เขาได้กลับไปช่วยสอนที่นั่น และค่อยๆ คืนสภาพปกติ แม้ว่าจะยังเห็นภาพหลอนอยู่เป็นครั้งคราว แต่เขาก็ไม่ใส่ใจกับมันอีกต่อไป

เขาได้รับการยอมรับที่ปรินซ์ตันจากคณาจารย์ และได้รับรางวัลโนเบลจากทฤษฎีสมดุลระบบ (governing dynamics) ซึ่งเขาพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาที่ปรินซ์ตัน

ทฤษฎีนี้เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดผลลัพธ์แบบได้กันทุกฝ่าย หรือ win-win ซึ่งไปหักล้างทฤษฎีของอาดัม สมิธ ที่บอกว่า ผลลัพธ์ดีที่สุดมาจากการที่แต่ละคนทำดีที่สุดเพื่อตัวเอง เขาบอกว่า ผลลัพธ์ดีที่สุดมาจากการที่ทุกคนในกลุ่มทำดีที่สุดเพื่อตัวเองและเพื่อกลุ่ม ทฤษฎีนี้มีอิทธิพลต่อการเจรจาการค้า แรงงานสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งชีววิทยาพัฒนาการ

รีวิว A Beautiful Mind

ฉากสุดท้ายเป็นสุนทรพจน์สั้นๆ ที่กินใจ เป็นคำสารภาพของคนที่ดูยิ่งใหญ่อัจฉริยะ แต่มีผู้อยู่เบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่า คนคนนั้นคือ A Beautiful Mind ตัวจริง อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

“ผมเชื่อมั่นเสมอในตัวเลข ในสมการและตรรกศาสตร์อันนำไปสู่เหตุผล แต่หลังจากที่ค้นหามาตลอดชีวิต ผมถามว่า อะไรคือศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักเหตุผลที่แท้จริง ใครคือผู้ตัดสินว่าอะไรคือเหตุผล อะไรไม่ใช่เหตุผล ผมได้ค้นคว้าเรื่องนี้ผ่านทางความรู้สึกนึกคิด ภาพหลอนและภาพจริง ผมได้พบสิ่งสำคัญที่สุดในอาชีพของผม เป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ผมพบว่ามีเพียงสมการอันเร้นลับของความรักเท่านั้นที่จะทำให้เราพบตรรกะแห่งชีวิต ผมขึ้นมายืนอยู่ที่นี่คืนนี้ได้เพราะคุณ คุณคือคำตอบว่าผมเป็นใคร คุณคือคำอธิบายว่าผมมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรและเพื่ออะไร”

ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึงนักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญา ชื่อ Blaise Pascal เขามีอายุอยู่เมื่อประมาณสามร้อยกว่าปีมาแล้ว อยู่ร่วมสมัยกับ Rene’ Descartes บิดาของเหตุผลนิยม คนที่บอกว่า “ฉันคิด ฉันจึงเป็นฉัน” (I think therefore I am)

ปัสคาลบอกว่า เดการ์ตคิดผิด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของคนไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่สมองหรอก แต่เป็นหัวใจต่างหาก “หัวใจมีเหตุผลที่เหตุผลไม่รู้จัก” (The heart has reasons that reason does not know)

เขาอีกนั่นแหละที่บอกว่า “ขอบฟ้ามิได้อยู่ที่สุดสายตา แต่อยู่ทุกย่างก้าวที่เราเดิน” ความคิดที่ฟังดูคล้ายกับเต๋า คล้ายปรัชญาตะวันออก เขาเป็นคนที่เชื่อในศาสนา และบอกว่า หัวใจคือสิ่งที่ทำให้เราสามารถรวมเอาศรัทธาและเหตุผลเข้าด้วยกันได้

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

“A Beautiful Mind” เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับนักคณิตศาสตร์ จอห์น แนช มันเขียนและกำกับอย่างชาญฉลาดมาก เพราะคุณได้เรียนรู้บางสิ่งที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงกลางเรื่อง ฉันจะพูดมากกว่านี้ แต่ฉันไม่ต้องการที่จะทำลายมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้สร้างภาพยนตร์ได้ทำงานที่ยอดเยี่ยมมากในการนำเสนออาการป่วยทางจิตของแนชไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว A Beautiful Mind

 

ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องดิ้นรนมาหลายปี ฉันชอบ “A Beautiful Mind” มันเป็นชีวประวัติกึ่งนวนิยายที่น่ารักของชีวิตนักคณิตศาสตร์ที่เก่งกาจ แต่อย่างที่ฉันพูดไป มันเป็นหนังกึ่งแฟนตาซี ซึ่งหมายความว่าหนังหลายเรื่องไม่เคยเกิดขึ้นเลย และเรื่องราวของชีวิตของชายผู้นี้มักจะถูกทำให้ปลอดโปร่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือหนังที่ยกระดับจิตใจมาก…แต่เป็นหนังที่ค่อนข้างจะหลอกลวง

และในฐานะครูสอนประวัติศาสตร์ที่เกษียณแล้ว ฉันเกลียดเรื่องนี้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากนี้ ฉันคิดว่ารางวัลออสการ์ปี 2002 เป็นปีที่ค่อนข้างแย่ แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่การแข่งขันก็ไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ จากปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ ฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกประเมินค่าสูงเกินไป แสดงว่าไม่ควรดู? ไม่แน่นอน แค่เข้าใจว่าฮอลลีวูดมักเข้าใจผิด และพวกเขาก็ทำที่นี่ และบังเอิญ อีกอย่างที่ผิดธรรมดาก็คือสำเนียงของรัสเซล โครว์ ฉันไม่รู้ว่าเขาควรจะมาจากไหน แต่ไม่มีที่ไหนใกล้เวสต์เวอร์จิเนียไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

รีวิว A Beautiful Mind

 

‘A Beautiful Mind’ มีหลายอย่างเกิดขึ้น เรื่องราวที่น่าสนใจโดยอิงจากผู้ชายที่น่าสนใจ นักแสดงที่ยอดเยี่ยมเต็มไปด้วยนักแสดงที่มีพรสวรรค์ การมีส่วนร่วมของ James Horner และ Roger Deakins (อาจเป็นหนึ่งในนักถ่ายภาพยนตร์สมัยใหม่ที่ดีที่สุดในธุรกิจ) และ Ron Howard เป็นผู้กำกับ (ผู้กำกับที่มีความสามารถมากพร้อมด้วย ภาพยนตร์ภายใต้เข็มขัดของเขา กำกับด้วยคุณภาพและขัดเกลาอยู่เสมอ

ถ้าไม่โดดเด่นเสมอไป) ในที่สุดก็เห็นแล้วอยากได้แต่ไม่ค่อยมีเวลา ‘A Beautiful Mind’ เป็นหนังที่ดีและมักจะดีมากสำหรับผม ถ้าไม่ได้ดีมาก จากรางวัลออสการ์สี่รางวัล คอนเนลลีและบทภาพยนตร์ดัดแปลง (โดยส่วนใหญ่) เป็นชัยชนะที่คู่ควร แม้ว่าจะมีผู้เข้าชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์และผู้กำกับยอดเยี่ยม ‘Fellowship of the Ring’ สำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ David Lynch สำหรับ ‘Mulholland Drive’

สำหรับผู้กำกับ อีกครั้งจากความเห็นส่วนตัว การเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ของ ‘A Beautiful Mind’ นั้นคุ้มค่ากว่าชัยชนะโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัสเซลล์ โครว์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม การแต่งหน้าและการตัดต่อภาพยนตร์ การถ่ายภาพยนตร์ก็ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังเช่นกัน มีบางสิ่งที่หยุด ‘A Beautiful Mind’ จากการยิ่งใหญ่ได้ การเว้นจังหวะอาจดูยุ่งเหยิง

รู้สึกเร่งรีบในบางจุดแล้วลากไปที่จุดอื่นๆ เป็นที่ยอมรับแม้ว่าจะมีสถานที่อื่นที่สมบูรณ์แบบ เห็นด้วยกับการวาดภาพโรคจิตเภทที่เป็นปัญหา เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและกล้าหาญที่จะกล่าวถึง แต่ผู้ที่เป็นโรคจิตเภทและอาการป่วยทางจิตโดยทั่วไปจะพบปัญหาในการวาดภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นโรคที่ซับซ้อนและน่ากลัวอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามใช้อย่างจริงจังและละเอียดอ่อน แต่รู้สึกว่าสะอาดเกินไปและเหมือนกับว่าระมัดระวังไม่ให้ขุ่นเคือง แต่กลับกลายเป็นว่าระมัดระวังเกินไป ด้านอื่น ๆ เป็นหนักมือ

โครงเรื่องย่อยของหน่วยสืบราชการลับมีความน่าสนใจเป็นส่วนใหญ่ และทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ในขณะเดียวกัน ส่วนต่างๆ ก็ไม่ปะปนกับส่วนที่เหลือของภาพยนตร์และรู้สึกสับสนเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ‘A Beautiful Mind’ ที่ต้องการคำที่ดีกว่านั้นดูสวยงามอย่างแน่นอน การถ่ายภาพยนตร์ด้วยสีสันที่สดใสและความลื่นไหลที่ไร้รอยต่อถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดแห่งปี และรายละเอียดของช่วงเวลานั้นชวนให้นึกถึงและมีความสุขเมื่อได้ดู โน้ตของเจมส์ ฮอร์เนอร์รวบรวมมุมมองที่หลากหลาย

โดยส่วนใหญ่อิงจากแง่บวก โดยส่วนตัวแล้ว แม้ว่ามันจะเพิ่มพลังทางอารมณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าไปมาก เพิ่มขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว และเรียบเรียงอย่างสวยงามและชาญฉลาด ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องประโลมโลกเลย บทภาพยนตร์ดัดแปลงของ ‘A Beautiful Mind’ ทำให้คนคิดมากในขณะที่จับอารมณ์ได้หลากหลาย มากกว่าชดเชยการขาดความแม่นยำ

เรื่องราวมีความน่าสนใจในส่วนใหญ่โดยเน้นที่การพรรณนาถึงวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งได้รับการยกย่องจากชุมชนคณิตศาสตร์ในขณะนั้น รวมทั้ง John Nash มันเคลื่อนไหวและยกระดับจิตใจมาก หลายฉากรับมือได้อย่างทรงพลัง ทิศทางของรอน ฮาวเวิร์ดคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำ จากที่เคยเป็นมา มันเต็มไปด้วยคุณภาพและความขัดเกลา แต่ก็เป็นบางส่วนที่โดดเด่นที่สุดของเขาและแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถกำกับได้อย่างโดดเด่น (แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่อื่นเสมอไปก็ตาม ไม่สามารถยกย่องนักแสดงได้มากพอ

 

รีวิว A Beautiful Mind

 

พร้อมกับภาพจริง มันเป็นส่วนที่ดีที่สุดของภาพยนตร์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับผิดกับโรงไฟฟ้าและผลงานที่ดีที่สุดของรัสเซล โครว์ ในขณะที่เจนนิเฟอร์ คอนเนลลีสัมผัสได้ถึงบทบาทที่เขียนด้วยความภักดีและเห็นอกเห็นใจ (แม้ว่าจะไม่ได้ท้าทายเท่าบทบาทอื่นๆ สองสามอย่างของเธอ เช่น ใน Requiem for a ฝัน’. เอ็ด แฮร์ริสเป็นคนคิดร้ายอย่างเยือกเย็น

ในขณะที่เสน่ห์ของพอล เบตตานีและอดัม โกลด์เบิร์กที่ไม่ค่อยมีใครเล่น และจัดด์ เฮิร์ชและคริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ก็ไม่ผิด สรุปได้น่าชื่นชมและทำได้ดีมาก กำกับและแสดงด้วยหลากหลายอารมณ์ ถ้าขาดเครื่องหมายของการเป็นหนังที่ “ยอดเยี่ยม” แทนที่จะเป็นหนังที่ดีและมักจะดีมาก และไม่ได้ให้ความยุติธรรมเพียงพอกับชายผู้ยิ่งใหญ่และเขา ชีวิต. ความแตกแยกเป็นที่เข้าใจ 7/10 เบธานี ค็อกซ์ อย่าลืมติดตามการรีวิวของเราได้ที่นี้ทีเดียว เว็บรีวิวหนัง