รีวิว 127 HOURS

หากมนุษย์คนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในหุบเขา มีหินทับแขน ขยับไปไหนไม่ได้ อาหารและน้ำก็มีอยู่อย่างจำกัด มนุษย์ผู้นั้นจะทำอย่างไร?  ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

ฟังดูแล้วเป็นสถานการณ์ที่กดดันแล้วสิ้นหวังมาก แต่มีผู้ที่รอดชีวิตมาแล้วจริงๆ นั่นก็คืออารอน รัลสตัน นักผจญภัยที่เคยเจอสถานการณ์ติดแหง็กอยู่ในร่องหินที่ Bluejohn Canyon ในรัฐยูท่าห์ ในปี 2003

และ 127 Hours ก็สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ที่ถ่ายทอดผ่านหนังสือ Between a Rock and a Hard Place

127 Hours ได้ James Franco มารับบทเป็นอารอน ชายหนุ่มที่ชอบออกผจญภัยโดยไม่บอกใครล่วงหน้าว่าเขาจะไปไหน ระหว่างที่เขากำลังบุกตะลุย Bluejohn Canyon อยู่นั้น ก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างปีนเขา

ทำให้เขาร่วงลงไปในซอกเขา แค่นั้นยังไม่พอ ยังเจอก้อนหินขนาดใหญ่หล่นลงมาทับแขนขวาของเขาอีก ทำให้เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้ ติดแหง็กอยู่แบบนั้น จะผลักก้อนหินออกไปก็ทำไม่ไหว หนักเกิน เขาต้องติดอยู่ที่นั่นโดยมีอาหารและน้ำในปริมาณจำกัด และสติที่พร้อมจะหลุดไปได้ทุกเมื่อ

นี่เป็นหนังแนวเอาตัวรอดที่ถือว่าดีมากๆ อีกเรื่อง โดยผู้กำกับ Danny Boyle อธิบายว่านี่คือหนังแอ็กชั่นที่พระเอกขยับตัวไม่ได้ ส่วนหนึ่งที่มันดีเพราะมันสร้างจากเรื่องจริง จึงทำให้สถานการณ์ดูสมจริง มุมกล้องดูมีความดิบและสถานการณ์มีความเป็นไปได้มากๆ อุบัติเหตุที่อารอนเจอนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพียงแค่ประมาทนิดเดียว ชีวิตก็เปลี่ยนได้ ดูแล้วเป็นเรื่องตลกร้ายจริงๆ ที่คนเราต้องทุกข์ทนทรมานเพียงเพราะก้อนหินก้อนเดียว เหมือนธรรมชาติเล่นตลกกับเรา

พอเจอสถานการณ์แบบนี้ หลายคนคงจะสติแรกและไม่เป็นอันทำอะไร แต่อารอนนั้นประคองสติไว้ได้ดีมาก เขาค่อยๆ คิดว่าจะมีวิธีเอาตัวรอดแบบไหนบ้าง เขางัดเครื่องมือเครื่องไม้ทุกอย่างมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นมีดพกเพื่อหั่นหิน หรืออุปกรณ์สลิงที่หวังว่าจะยกหินออกไปได้ แม้ทั้งหมดนี้จะไม่ได้ผล แต่เราก็นับถืออารอนมากที่ไม่สิ้นหวังในสถานการณ์แบบนี้ และยังสามารถไตร่ตรองได้อย่างดีว่าจะเอาตัวรอดยังไง

แน่นอนว่าเมื่อลองทุกวิธีแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องท้อแท้เป็นธรรมดา บวกกับสภาพร่างกายที่ขาดอาหารขาดน้ำ เลือดไหลเวียนไม่ดี ก็ทำให้อารอนสติหลุดไปบ้าง ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งประสบกับปัญหาภาพหลอน เรื่องราวในอดีตฉายวนกลับเข้ามาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน คนรัก ภาพเหล่านี้รีเพลย์ในหัวของเขา ตรงกับเรื่องเล่าที่บอกว่าเวลาคนใกล้จะตาย ชีวิตทั้งชีวิตของเขาจะถูกรีเพลย์ให้ดูอีกครั้งโดยอัตโนมัติ

เหตุการณ์เฉียดตายครั้งนี้ ทำให้อารอนเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต และเห็นว่าตัวเองเคยทำพลาดอะไรมาบ้าง

วินาทีนั้นเราลุ้นมากว่าอารอนจะรอดไหม เพราะสภาพพี่แกคือพร้อมไปแล้วจริงๆ แถมนอกจากจะมโนเห็นอดีตแล้ว อารอนยังเห็นนิมิตภาพตัวเองในอนาคตอีก แต่นั่นถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันทำให้เขาฮึดที่จะสู้ต่อ แสดงให้เห็นเลยว่าแรงฮึดของมนุษย์นี่มีพลังจริงๆ แม้ว่ากายจะอ่อนแอแต่ถ้าใจสู้ ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แน่นอนว่าอารอนได้เปรียบเพราะมีการเตรียมตัวมาระดับนึง และเป็นนักผจญภัยที่ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาด้วย

 

รีวิว 127 HOURS

 

แม้จะเป็นหนังสู้ชีวิตที่คาบเกี่ยวระหว่างความฮึดกับความท้อ แต่หนังก็ไม่ได้เล่าออกมาในเชิงน่าเศร้าหรือหดหู่เลยนะ ตรงกันข้าม หนังเลือกที่จะเล่าแบบตรงไปตรงมา และบางทีก็ติดตลกด้วยซ้ำ จนรู้สึกว่า เอ่อ

แกยังมีอารมณ์มาเล่นมุกอีกเหรออารอน 555 อย่างการอัดวิดีโอแซะตัวเอง คุยกับตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะร้องห่มร้องไห้ สั่งเสียต่อหน้ากล้อง แต่อารอนเล่าทุกอย่างแบบชิลๆ มาก เล่าตามแบบที่มันเกิดขึ้นจริง

ซึ่งในแง่นึงก็ทำให้หนังไม่หนักเกินไป แต่อีกแง่นึงก็อดรู้สึกถึงความเหงาเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ ในพื้นที่ที่มีแค่ตัวเองอยู่คนเดียว การต้องจินตนาการว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยนี่มันยิ่งทำให้รู้สึกเหงากว่าเดิมไปอีก

สุดท้าย ทางออกของอารอนก็คือการตัดแขนตัวเองทิ้ง เป็นทางเลือกที่ฟังแล้วชวนหลอนมาก ต้องใช้แรงใจมหาศาลในการค่อยๆ หั่นเนื้อหักกระดูกตัวเอง ส่วนนี้หนังทำออกมาได้ดิบมากๆ เลือดสาดไม่แพ้หนังซาดิสต์

รีวิว 127 HOURS

แถมยังมีการเล่นเอ็ฟเฟ็กส์เสียงเตือนตอนที่เผลอตัดโดนเส้นประสาทด้วย เป็นฉากที่กล้าพูดเลยว่าไม่ได้ดูเต็มตา ต้องเอาหมอนปิดหน้า ในใจภาวนาว่าให้ฉากนี้จบไปสักที เรียลเกินไปละโว้ยยย อย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

หนังจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง นั่นก็คืออารอนหนีรอดออกมาได้ แม้ว่าจะด้วยสภาพอิดโรยก็ตาม แต่ก็โชคดีที่เขาเจอคนระหว่างทาง และได้รับความช่วยเหลือพอดี หนังจบด้วยการสรุปเหตุการณ์จริงที่เกิดกับอารอนตัวจริงต่อจากนั้น ว่าเขาได้สร้างครอบครัวขึ้นมา แล้วก็ยังไปเที่ยวผจญภัยอยู่นะ แต่ที่เปลี่ยนไปคือเขาบอกคนอื่นทุกครั้งแล้วว่าเขาจะไปไหน เรียกได้ว่าเหตุการณ์ติดร่องหินนี่เป็นบทเรียนที่ติดตัวเขาไปจนวันตายเลยก็ว่าได้

ถามว่าหนังเรื่องนี้ใกล้เคียงกับความจริงที่เกิดกับอารอนมากแค่ไหน? ก็คงไม่มีใครบอกได้ดีเท่ากับตัวเขาเอง ซึ่งอารอนก็บอกว่า นอกเหนือไปจากซีนพาสาวไปเล่นน้ำที่ตอนแรกเขารู้สึกไม่ชอบเท่าไรเพราะมันไม่ตรงกับความจริง

ที่เหลือของหนังนั้นเรียกได้ว่าตรงมากๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงความเป็นสารคดี แต่ก็ยังมีความดราม่าลุ้นระทึกอยู่ด้วย ตัวเขาเองได้ดูหนังเรื่องนี้ไป 8 รอบแล้ว และร้องไห้ทุกรอบเลยด้วย

โดยรวมแล้ว 127 Hours เป็นหนังเอาตัวรอดที่ไม่ใช่แค่แอ็กชั่นอย่างเดียว แต่ยังบอกเล่าความทุกข์ความกดดันของคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา นอกจากนี้ยังย้ำเตือนให้เรามีสติกับชีวิตในทุกย่างก้าว รวมถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วย เพราะสติและแรงใจอันเข้มแข็งนี่แหละจะเป็นตัวช่วยพยุงเราขึ้นมา

และที่สำคัญก็คือ อย่าลืมใส่ใจคนรอบข้าง และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ในชีวิตด้วยละ

รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันพยายามดูผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมทั้งหมด จากการปลูกพืชในปีที่แล้ว “127 ชั่วโมง” เป็นรายการสุดท้ายที่ฉันดู ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

และฉันก็กลัว เรื่องราวในชีวิตจริงเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ตกลงไปในหุบเขาลึกและจำเป็นต้องปลิดชีพตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นไม่ใช่หนังประเภทที่ฉันจะรีบออกไปดู! เฮ็ค “Winter’s Bone” เป็นเรื่องตลกเมื่อเทียบกับ “127 Hours”! ใช่ เป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ เพราะมีฉากที่ตัวละครหลักกำลังดื่มปัสสาวะ ตัดมือของเขาออก (ไม่ใช่ภาพแบบนั้น) และเลือดทั้งหมดทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ดูยาก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมเขียนบทและกำกับโดยแดนนี่ บอยล์ ชายผู้นำรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่อง “Slumdog Millionaire” มาสู่โลก แม้ว่าฉันจะไม่ตื่นเต้นกับบทภาพยนตร์มากนัก (ถึงกระนั้น เรื่องราวก็เรียบง่ายมาก

และดูเหมือนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับการเสริมให้หนักแน่นเพื่อให้มีความยาวเต็มที่) ฉันก็รู้สึกประทับใจกับการทำงานและทิศทางของกล้องที่สร้างสรรค์มากมาย แต่เรื่องราว การใช้ดนตรีสไตล์อินดี้มากเกินไป (ซึ่งดีมากถ้าคุณเป็นฮิปสเตอร์ฉันไม่ใช่แน่นอน) และเลือดที่สาดกระเซ็นทำให้มันขายยากสำหรับฉัน และอาจมากที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เฉพาะที่ไม่เหมาะสำหรับทุกคนอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าสี่วัน แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นถึงเปิดกล้องถ่ายวิดีโออยู่เสมอล่ะ! ความจุบวก 127 ชม. ยี่ห้ออะไร?! ฉันแน่ใจว่าต้องการซื้ออันนั้น!

ฉันสนุกกับงานของ Danny Boyle แม้ว่าฉันจะรู้สึกผิดหวังกับ Sunshine ก็ตาม ฉันก็เลยต้องดู 127 Hours อย่างเป็นธรรมชาติ ฉันคิดว่ามันยอดเยี่ยมและทำได้ดีมาก ฉันคิดว่าหนังอาจยาวกว่านี้เล็กน้อย แต่ในใจ 127 Hours

เป็นภาพยนตร์ที่ดูดี ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดูดีที่สุดและน่าประทับใจในปี 2010 ในสายตาของฉัน ฉันชอบการถ่ายภาพยนตร์และทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมมาก และยังชอบการตัดต่อจลนศาสตร์และเอฟเฟกต์ภาพอีกด้วย

เรื่องราวมีความน่าสนใจและดำเนินไปได้ดี ประกอบเข้าด้วยกันอย่างสวยงามด้วยฉากย้อนอดีตและภาพหลอนที่มีการจัดฉากมาอย่างดีและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ดนตรีมีความเหมาะสมและมีพลัง บทสรุปนั้นบาดใจ และฉันคิดว่าบีบหัวใจได้ ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

และต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้ผู้ฟังเห็นอกเห็นใจ Ralston นอกเหนือจากด้านเทคนิคแล้ว สิ่งที่โดดเด่นจริงๆ เกี่ยวกับ 127 Hours คือทิศทางที่ยอดเยี่ยมของ Boyle มันแน่นอย่างน่ามหัศจรรย์ตลอด

และทัวร์เดอฟอร์ซที่ชวนให้หลงใหลซึ่งเป็นผลงานนำของ James Franco รวมๆแล้วเยี่ยมเลยครับ 8/10 เบธานี ค็อกซ์

ฉันเป็นคนที่ชอบดูหนังประเภทนี้มาก คุณรู้ไหม ตัวละครหนึ่งตัวหรือมากกว่านั้นติดอยู่ในสถานการณ์และต้องใช้สมองเพื่อเอาตัวรอด ภาพยนตร์อย่าง CUBE, FROZEN, บางส่วนของซีรีส์ SAW, นรก, แม้กระทั่งย้อนกลับไปในยุค 80 กับ EVIL DEAD 2 ฉันชอบอิสระที่นักแสดงกลุ่มหนึ่งหรือกลุ่มเล็กๆ ในชุดเดียวนำมา

127 HOURS ที่ตื่นเต้นมากมาถึงเราโดยอิงจากเรื่องจริงซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ด้านดีคือมันช่วยเพิ่มความรู้สึก ‘อาจเกิดขึ้นกับคุณ’ ขณะที่คุณกำลังดูอยู่ ด้านที่ไม่ดีคือผู้ชมส่วนใหญ่จะรู้ตอนจบก่อนที่จะเริ่มดู

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมและจับใจ แม้ว่าฉันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมาก่อนก็ตาม แดนนี่ บอยล์ ผู้ซึ่งฉันไม่เคยชอบมาก่อน (ฉันเกลียดการฝึกฝนด้วยการแก้แค้น)

 

รีวิว 127 HOURS

 

จัดการเพื่อให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีส่วนร่วมแม้จะไม่ได้เกิดขึ้นมากนักในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาใช้งานกล้องที่บ้าคลั่ง ย้อนอดีต บทพูดคนเดียว และสแนปชอตของสถานที่ที่สวยงามและแห้งแล้งเพื่อสร้างเอฟเฟกต์ที่ยอดเยี่ยม

นี่คือภาพยนตร์ที่เน้นความสมจริงเหนือสิ่งอื่นใด และอีกครั้ง มีทั้งด้านดีและด้านร้ายในเรื่องนี้ เจมส์ ฟรังโก (แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม) รับบทเป็นผู้ชายที่ไม่น่ารักหรือขี้สงสารนัก

แต่ก็ทำหน้าที่สร้างเรื่องราวที่เผยออกมาให้น่าเชื่อยิ่งขึ้น ใช่ 127 HOURS เป็นซีเควนซ์ที่ระทึกใจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภาพยนตร์ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับอวัยวะภายในของประสบการณ์ แต่เป็นการศึกษาทางจิตวิทยาที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางรอด หากชื่นชอบการรีวิวของเรา สามารถติดตามการรีวิวของเราได้ที่นี่  เว็บรีวิวหนัง