รีวิว ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2

 

การกลับมาอีกครั้งของ Sicario หลังจากในปี 2015 ที่จัดความเข้มข้นอย่างหนักหน่วงมาสร้างความประทับใจให้คนดูได้อย่างสุดยอด หลังจากสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก Emily Blunt คนที่รับบทนำที่เด่นชัดที่สุดของหนังก็ไม่กลับมาเล่นต่อ แต่หนังก็ยังต้องเดินต่อไป ด้วยผู้กำกับคนใหม่ และนักแสดงชุดเดิมที่เหลืออยู่ ภาคนี้ก็เลยต้องดันสองหนุ่มรุ่นเก๋าขึ้นมานำทัพเต็มตัว

 

หนังเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่องจากภาคแรก และพยายามจะดันเรื่องราวของการปราบปรามแก๊งยาเสพย์ติดข้ามชาติให้ดูรุนแรงและตึงเครียดมากขึ้น หนังพยายามจะคงความตึงเครียดและอึมครึมของภาคแรกเอาไว้ เพราะมันคือจุดที่แข็งที่สุดของหนังภาคแรกที่เป็นตัวกดดันคนดูให้อินไปกับสถานการณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี กับภาคนี้หนังยังคงความอึมครึมตึงเครียดไว้ แต่กลับไม่ได้เข้มข้นเท่า เลยทำให้บางช่วงหนังก็พาง่วงได้เหมือนกัน ดูหนังออนไลน์ฟรี

 

“NO RULES THIS TIME” ไม่มีกฎ ฆ่าได้ฆ่า พร้อมจุดไฟเดือดสมรภูมิ ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น! เพราะภารกิจในครั้งนี้เดือดกว่าเดิม เมื่อขบวนการค้ายาเสพติดของเม็กซิโกลุกลามอาณาเขตของอาชญากรรม ลักลอบผู้ก่อการร้ายชาวอิสลามกลุ่ม “ไจฮาดิ” เข้าสู่สหรัฐฯ ผ่านพรมแดนในเขตเม็กซิโก CIA สายบู๊อย่าง “แมตต์ เกรเวอร์” (จอช โบรลิน) จึงต้องกลับมาร่วมมือกับสายลับโหดเลือดเย็น “อเลฮานโดร” (เบนิซิโอ เดล โทโร) เอาชีวิตเข้าแลก หยุดยั้งแผนเถื่อนของแก๊งค้ายาตัวบิ๊ก และต้องการกำจัดบอสของพวกมันให้สิ้นซาก จึงนำไปสู่การปะทะครั้งใหญ่ในแบบที่พรมแดนจะต้องลุกเป็นไฟ!

รีวิว ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2 พล็อตเรื่อง

“ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2” ยังคงเล่าถึงการเดินหน้าปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติดที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก แต่ครั้งนี้สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากกลุ่มค้ายาเสพติดได้พยายามส่งผู้ก่อการร้ายข้ามพรมแดนมายังสหรัฐฯ ดังนั้นเพื่อการรับมือต่อกร “แมตต์ เกรเวอร์” หน่วยกองกำลังเฉพาะกิจของรัฐบาล จึงต้องร่วมมือกับนายทหารรับจ้าง “อเลฮานโดร” เพื่อฝ่าอันตรายทำภารกิจเดือดแห่งสงครามยาเสพติดครั้งใหญ่  ด้วยการลักพาตัว อิสซาเบลล่า เรเยส ลูกสาวของราชายาเสพติดมาเพื่อจุดความขัดแย้งระหว่างแก๊งค์ จนนำไปสู่สงครามระดับประเทศเต็มรูปแบบชนิดไร้กฎเกณฑ์

 

หนังเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่องจากภาคแรก และพยายามจะดันเรื่องราวของการปราบปรามแก๊งยาเสพย์ติดข้ามชาติให้ดูรุนแรงและตึงเครียดมากขึ้น หนังพยายามจะคงความตึงเครียดและอึมครึมของภาคแรกเอาไว้ เพราะมันคือจุดที่แข็งที่สุดของหนังภาคแรกที่เป็นตัวกดดันคนดูให้อินไปกับสถานการณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี กับภาคนี้หนังยังคงความอึมครึมตึงเครียดไว้ แต่กลับไม่ได้เข้มข้นเท่า เลยทำให้บางช่วงหนังก็พาง่วงได้เหมือนกัน รวมรีวิวหนังแอ็คชั่น

 

รีวิว ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2

 

แต่หนังก็กลับมาสนุกมากขึ้นเมื่อเพิ่มความมันส์ในส่วนของแอ็คชั่นเข้ามามากขึ้นกว่าเดิม เหมือนเดินมาได้ครึ่งทางหนังเริ่มรู้ตัวว่าถ้าไปแนวนี้แล้วทำไม่ถึง เปลี่ยนแนวดีกว่า ก็เลยเอาแอ็คชั่นไล่ล่าสาดกระสุนใส่เพิ่มเข้าไปซะเพื่อปลุกคนดูจากภวังค์ และก็ทำได้ดี ช่วงครึ่งหลังของดูสนุกและลุ้นมันส์ไปกับการตามล่าช่วยเหลือตัวประกันอย่างเต็มที่ ความโหดดิบถูกใส่เข้ามาอย่างสะใจขาโหดตลอดช่วงครึ่งหลังเหมือนหนังคนละม้วนจนถึงจบ ในภาคนี้ดาราที่ถูกดันขึ้นมาให้เด่นสุดๆ หนีไม่พ้น เบนิซิโอ เดล โทโร่

 

ที่ภาคที่แล้วจะดูเงียบๆ ไม่เด่นเท่าคนอื่น แต่สำหรับภาคนี้เหมือนเป็นตัวดำเนินเรื่องเลยก็ว่าได้ ส่วน จอร์ช โบรลิน สำหรับภาคนี้ก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้เด่นขึ้นมากว่าเดิมสักเท่าไหร่ หนังไปเน้นช่วงหลังไปกับการหนีตายของ อิซาเบลล่า และ อเลฮานโดร มากกว่า แล้วก็ตบท้ายด้วยปฏิบัติการช่วยตัวประกัน ซึ่งช่วงท้ายก็เป็นการโชว์ของ จอร์ช โบรลิน

บทสรุปท้ายเรื่อง สำหรับผมแล้ว ส่วนตัวคิดว่าหนังยังจบได้ไม่น่าประทับใจ เหมือนรีบสรุปจบ ไม่ได้ขมวดปมที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ลงตัว เหมือนกั๊กๆ ไว้ว่าเผื่อมีภาคสามก็เอาเรื่องราวตรงนี้สร้างต่อไปเลย ถามว่าหนังสนุกมั๊ย สนุกนะช่วงครึ่งหลัง แต่ช่วงครึ่งแรกอาจจะอึนๆ ง่วงๆ หน่อย เพราะ ความเข้มข้นจัดจ้านของภาคแรกที่หายไป Mission ต่างๆ เลยดูไม่ได้มีจุดพีคของเรื่องขนาดนั้น แต่แอ็คชั่นจัดเต็มระเบิดจอเลยล่ะ รีวิวหนังบู๊

รีวิว ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2 ความรู้สึกหลังดู

เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับสเตฟาโน พยายามที่จะสานต่อบรรยากาศและอารมณ์หนังให้ครึ้ม หม่น ตามสไตล์ที่วิลล์เลอเนิฟวางไว้ในภาคแรก ซึ่งถ้ามองเผิน ๆ ก็อาจจะกลมกลืน แต่ถ้าเปรียบกันชัด ๆ แล้ว Sicario: Day of the Soldado น่าจะถูกใจคนดูในตลาดวงกว้าง โดยเฉพาะคอแอ็คชั่นมากกว่าภาคแรก โดยเนื้อหาที่เน้นแอ็คชั่นในแบบโฉ่งฉ่าง

ฉากรบจัดหนักและมาถี่ สาดกระสุนว่อน ระเบิดตูมตาม จ่อกบาลยิงกันเลือดท่วมจอ แต่ถ้าคนดูที่ชื่นชมในสไตล์กำกับของวิลเลอเนิฟในภาคแรกอาจจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง อาจจะด้วยสไตล์กำกับที่แตกต่างกัน และด้วยเนื้อหาของหนังที่ไปกันคนละทิศทางกับภาคแรก ที่มีเอมิลี่ บลันต์ เป็นตัวละครนำและทำหน้าที่แทนสายตาคนดูพาเราไปรู้จักโลกอันโหดร้ายบนชายแดนเม็กซิโกที่อยู่ใต้เงามืดของเจ้าพ่อค้ายา

 

รีวิว ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2

 

พอมาถึงภาคนี้ เอมิลี่ บลันต์ ไม่กลับมา ก็เหลือแต่เพียง จอช โบรลิน ในบท แมตต์ เกรเวอร์ ทหารรับจ้างมากประสบการณ์ แล้วก็ดันบทอเลฮานโดรของ เบนิซิโอ เดลโตโร ให้ขึ้นมาเป็นบทเด่นเคียงคู่กับแมตต์ เกรเวอร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวละครเก่าจากภาคแรก ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวละครกันอีกต่อไป มาถึงก็เดินหน้าได้เลย หนังวางเรื่องให้แมตต์ รับงานใหม่จากกลาโหมอเมริกันให้ปิดฉากแก๊งค้ายาเม็กซิกัน ที่นับวันจะเพิ่มปัญหาให้กับชายแดนเท็กซัส เป็นการทำงานใต้ดินที่รัฐบาลไม่ขอออกหน้า แมตต์จึงต้องใช้ทีมทหารรับจ้างล้วน ๆ ด้วยการวางแผนจับตัว อิซาเบล เรเยส ลูกสาววัย 16 ของคาร์ลอส เรเยส เจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ และอ้างตัวว่าเป็นแก๊งตรงกันข้าม เพื่อเสี้ยมให้ 2 แก๊งตีกันเอง

 

แล้วเรื่องราวจากนั้นก็กลายเป็นปมเคร่งเครียดอย่างที่เราเห็นในตัวอย่างหนัง เมื่อรัฐบาลสั่งให้ฆ่าปิดปาก อิซาเบล เรเยส แต่เธออยู่ในการคุ้มครองของอเลฮานโดร ที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งรัฐบาล เป็นผลให้ แมตต์ จำต้องจัดทีมที่เหลือตามเก็บทั้งอเลฮานโดร และ อิซาเบล เสีย จากนี้ค่อยไปตามดูกันนะว่าศึกระหว่าง 2 ทหารรับจ้างผู้คร่ำหวอดจะลงเอยอย่างไร รีวิวหนังแอ็คชั่น

 

รีวิว ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2

 

สิ่งที่ขาดหายไปคือเสน่ห์ในลายเซ็นของเดนนิส วิลล์เลอเนิฟ ที่แม้จะไปแบบช้า ๆ หม่น ๆ ครอบคลุมไปด้วยบรรยากาศลึกลับหนัก ๆ แต่ก็ยังถ่ายทอดให้เห็นความโหดดิบของโลกอาชญากรเม็กซิกัน สิ่งที่ทดแทนมาในภาคนี้คืองานแอ็คชั่นที่อัดมาแน่นในสเกลที่ใหญ่ขึ้น กระสุดสาดกันว่อน จรวดอาร์พีจี ระเบิดมือ และเครื่องแบล็คฮอว์คที่เป็นพระเอกในหลายฉาก กลายเป็นหนังแอ็คชั่นบนสนามรบที่ทำได้ดุ มันส์ และเข้าใจง่ายกว่างานในแบบของวิลล์เลอเนิฟแน่นอน แล้วก็ตรงคอนเซ็ปต์กับชื่อของภาคนี้

Day Of Soldado ที่แปลว่า “วันของทหารหาญ” ก็เลยเน้นปฏิบัติการของทหารเป็นหลัก ไม่เห็นเงาของเจ้าพ่อค้ายาเลย แต่เส้นเรื่องที่เดินขนานกันไปในภาคนี้คือ ขบวนลักลอบการพาคนเม็กซิกันเข้าอเมริกา ที่เล่าสลับกันไปตลอดเรื่องและเส้นเรื่องมาบรรจบกันท้ายเรื่องกลายเป็นไคลแมกซ์ที่ตึงเครียด

 

แม้หลาย ๆ ฉากเราเห็นกันมาแล้วในตัวอย่างหนัง แต่พออยู่ในหนังจริงก็ทำได้ชวนลุ้นระทึกดี โดยเฉพาะฉากขบวนรถหุ้มเกราะทำหน้าที่ขนย้ายอิซาเบล เรเยส เข้าสู่เม็กซิโก ต้องระแวดระวังแก๊งตรงข้ามมาชิงตัว เป็นฉากยาวที่ดูไปก็ต้องลุ้นไปว่าจะโดนโจมตีหรือไม่ตอนไหน ดนตรีประกอบฝีมือของ Hildur Guðnadóttir

(ขอไม่เขียนชื่อไทยนะ อ่านยากมาก) ก็ช่วยได้มาก กับการปูอารมณ์เข้าแต่ละช่วงฉากแอ็คชั่น ฮิลเดอร์ เป็นนักทำดนตรีประกอบมือใหม่เลื่อนขั้นมาจากทีมทำดนตรีที่เคยทำงานให้กับผลงานทุกเรื่องก่อนหน้าของ เดนนิส วิลล์เลอเนิฟ

 

จุดหนึ่งที่เสียดายพอสมควรคือตัวตนของอเลฮานโดร ในภาคแรกวางตัวอเลฮานโดรไว้เป็นมนุษย์ที่ลึกลับน่ากลัว พูดน้อย ดูไม่เป็นมิตรและมีอดีตที่มืดมน พอมาภาคนี้บทของอเลฮานโดร จำเป็นต้องกลายมาตัวละครนำ ความลึกลับน่ากลัวเลือนหายไปสิ้น กลายเป็นอเลฮานโดรที่พูดมากขึ้น เฟรนด์ลี่ขึ้น ได้เห็นด้านอ่อนโยนของเขา เริ่มมีการเปิดเผยอดีตของเขามากขึ้น เพื่อปูถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญของเขาที่เลือกจะปกป้องอิซาเบล เรเยส

 

อีกฉากที่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นคือ การพบกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ แมตต์ มาชักชวน อเลฮานโดร ให้เข้าร่วมปฏิบัติการนี้ ด้วยการแอบเข้าไปในห้องของอเลฮานโดร แล้วก็นั่งรออยู่ในมุมมืด ๆ เมื่อเจ้าของบ้านกลับมา ด้วยทักษะของทหารทำให้รู้ว่ามีคนบุกเข้าบ้าน ก็ถือปืนสอดส่องตามหา แล้วก็จ๊ะเอ๋ว่าเป็นเพื่อนเก่ามาหา ไม่คิดว่าเราจะยังคงเห็นฉากเชย ๆ แบบนี้ในหนังฮอลลีวู้ดในปี 2018 นะ ชวนให้สงสัยมากว่าทำไมพี่ ๆ เค้าไม่โทรนัดกันนะ แล้วถ้ารายหลังไม่กลับมาบ้าน ผู้มาเยี่ยมไม่ต้องรอเก้อเหรอ 2 ชั่วโมงของหนัง

 

เดินหน้าไปอย่างน่าติดตาม มีฉากแอ็คชั่นให้ดูเรื่อย ๆ ไม่เว้นช่วงนาน แต่ฉากไคลแมกซ์ท้ายก็ทำได้ตึงเครียดสุด โหดสุด แล้วก็จบแบบทิ้งปริศนาไว้มากพอควร รอไปเฉลยในภาค 3 ที่หนังเริ่มขั้นตอนการสร้างแล้วอย่างมั่นใจ ไม่รอดูผลลัพธ์ของภาค 2 เลย ดูฟอร์มแล้วหนังน่าจะทำรายได้ดีกว่าภาคแรก แต่ในทางตรงกันข้ามคะแนนจากนักวิจารณ์ก็ออกมาต่ำเตี้ยกว่าภาคแรกแน่นอน เป็นหนังที่ดูเอามันส์ สนุกไปกับหนังได้แม้ไม่เคยดูภาคแรกครับ รีวิวหนังภาคต่อ